ตอนที่ 11 ศึกรอบที่สอง (ตอนท้าย) 'พวกหอโครนัสจริงๆ ด้วยสินะ' ...เฮเรียสที่อยู่ในเต็นท์ยังคงแค่แอบฟังเฉยๆ โดยยังไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
“...นี่...เจ้า....เจ้าจะอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
เฮเรียสได้ยินเสียงกระซิบของอาร์ดิส ทำให้เขารู้สึกตัวว่าเขากำลังเอาแขนและตัวกดตัวอาร์ดิสมาได้พักใหญ่แล้ว
แต่เมื่อเขาหันหน้ามาสายตาของคนทั้งคู่ต่างประสานกัน ในขณะนั้นพวกเขาเหมือนรู้สึกว่าเสียงภายนอกที่เคยดังรบกวน
ได้เงียบหายไป อย่างกับว่าเวลาและโลกทั้งใบนี้หยุดหมุน
แต่เวลาคงหยุดแค่ชั่วครู่เดียว เมื่อมีเสียงจากทางด้านประตูหลังของเต็นท์ ซึ่งทำให้อาร์ดิสต้องเงยหัวเพื่อให้เห็น
ด้านหลัง แล้วก็พบว่าผู้ที่เรียกตนและเฮเรียสแบบแผ่วเบาคือเซอเพน
เซอเพนคลานหมอบมากับพื้นหญ้าอย่างกะงูหรือปลาไหล เพื่อมาสมทบกับอาร์ดิส และเฮเรียส เพราะคาดการณ์ว่า
สองคนนี้จะต้องตื่นแล้วแน่ๆ เพราะเป็นพวกหูตาไวอย่างกับสัปปะรด (เสียงดังขนาดนั้นไม่ตื่นก็บ้าแล้ว~
)
เมื่อเซอเพนมาถึงเต็นท์เป้าหมายเขาไม่รีรอชักช้าพอเรียกชื่อแบบกระซิบเบาๆ แล้วก็เอามือแง้มเปิดเต็นท์ของทั้งคู่
ทันที และแล้วก็ได้เห็นเพื่อนเกลอทั้งคู่นั่งอยู่กันคนละฟากของเต็นท์ เหมือนอย่างกับตรงกลางเต็นท์มีอะไรที่น่าขยะแขยง
ขั้นกลางอยู่
“...ทำไรของพวกเจ้ากันอยู่เนี่ย? ” เซอเพนถามด้วยเสียงกระซิบที่เบาที่สุดเท่าที่จะข่มความสงสัยไว้ได้
“...เปล่า...” มันเป็นการตอบคำถามที่สั้นและประสานเสียงกันแบบไม่ได้นัดหมาย
นั่นหละยิ่งทำให้มันยิ่งน่าสงสัยเข้าไปอีก แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพรรค์นี้ กำลังหน้าสิวหน้าขวาน ศัตรูบุกมาถึงที่
แบบนี้ควรจะรับมือยังไง (เซอเพนก็มีช่วงจริงจังกับชีวิตกับคนอื่นเค้าเหมือนกัน สุโค่ย....)
“จะโชว์ตัวเลยไหมหรือว่า...” เซอเพนถามอย่างต้องการคำตอบที่ลงมติโดยแกนนำทั้งสอง
“ยังก่อน...ดูท่าทีของอีกฝ่ายให้ถี่ถ้วนกว่านี้หน่อยน่าจะดีกว่า” เฮเรียสกล่าวเบาๆ
เซอเพนหันมาทางอาร์ดิสเพื่อต้องการให้เขายืนยันว่าจะทำตามคำพูดของเฮเรียสหรือว่ามีความเห็นอื่นที่ดีกว่าหรือไม่
“ข้าว่าเราควรจะออกจากเต็นท์ไปหามุมที่ได้เปรียบมากกว่านี้ เพื่อจะได้เห็นเหตุการณ์ภายนอกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากต้อง
ปะทะก็จะได้ลงมือได้ทันท่วงที”
เฮเรียสพอใจกับความคิดเห็นเสริมจากอาร์ดิส เขาจึงแสดงออกด้วยการพยักหน้าหนึ่งที ทั้งสามทำท่าเหมือนกำลังจะ
เปลี่ยนอิริยาบถเพื่อเตรียมตัว ยังไม่ทันที่จะเคลื่อนตัวออกจากเต็นท์ เหตุการณ์ภายนอกกลับทำให้ทั้งสามต้องลุกเดี๋ยวนั้น
โดยละทิ้งข้อตกลงเมื่อครู่ไปโดยไม่ต้องถาม
“หึ หึ อย่างกับเด็กๆ ที่พึ่งหัดเดิน น่าสมเพจ”
ก่อนหน้าที่จะได้ยินเสียงสบประมาทเหล่านี้ กลุ่มหอไดอาน่าและกลุ่มหอโครนัสอีกจำนวน 2 คน ต่างก็ต้องตกตะลึง
ไปกับพลังเวทย์ปริศนาที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้าทำลายบริเวณที่ตั้งเต็นท์ของกลุ่มหอไดอาน่าของพวกอาร์ดิส โดยไม่มีการออมมือแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่ากะเอาตายหมู่ แบบไม่สนว่าใครอยู่ฝ่ายไหน
วิถีทำลายล้างของพลังเวทย์นั้นทำให้ผืนดินกลายเป็นแอ่งขนาดใหญ่ บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพลังเวทย์ ซึ่งวิถี
ดังกล่าวมาจากผู้ปลดปล่อยปริศนา หรือว่าเขาคือหนึ่งในฝ่ายหอโครนัสที่ชายคนนั้นกล่าวถึงที่มีนามว่า...โจฮัน
“เวทย์ธาตุมืด...”
อาร์ดิสเปรยออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอที่คละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณที่พวกตนเคยตั้งเต็นท์ ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่
ได้พบกับท่านแมจิกเอนเดเมี่ยน เธอเคยรับรู้ความรู้สึกของกลิ่นไอเช่นนี้ และเมื่อครั้งผนึกวิถีเวทย์ของคอร์วีแดก็เช่นกัน อาร์ดิส
ไม่เคยสงสัยเรื่องที่คอร์วีแดจะมีรากฐานธาตุเวทย์คือธาตุมืดเลยแม้แต่น้อย แต่อย่างไรเสียมันก็ยังเจือจางกว่าตอนนี้มากนัก
“อึก...หวิดดับแล้วไหมล่ะ” เซอเพนกลืนน้ำลายอย่างกับลูกกระเดือกมาขวางท่อลำเลียง
“แปลก...” เฮเรียสเอามือมาสัมผัสบริเวณคางของตน
“แปลกอะไรกันเล่า เห็นชัดๆ ว่าพวกโครนัสมันกะเอาตายกันเห็นๆ ทั้งๆ ที่มีพวกมันอยู่ด้วยแท้ๆ โหดชะมัด ไอ้พวก
เลือดเย็นเอ๊ย”
เซอเพนกล่าวด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
“ผิดแล้วเซอเพน คนผู้นั้นไม่ใช่พวกหอโครนัสหรอก ดูจากการส่งคนตามมาช่วยผู้หญิงหอโครนัสนั่นแล้ว ไม่มีทางที่จะ
ทำร้ายพวกเดียวกัน คนผู้นั้นคงเป็นคนนอกมากกว่า”
อาร์ดิสค้านพร้อมแจงเหตุผลประกอบ
“หึ นับว่าหอไดอาน่ายังมีคนฉลาดอยู่บ้าง เจ้านั่นไม่ใช่พวกของเราหรอก แต่เป็นไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ที่จู่ๆ ก็เข้ามาก่อกวน
ชาวบ้านชาวช่อง คงเป็นพวกหลงตัวเองสุดกู่ และคงอยากจะเสริมสารอาหารจำพวกโปรตีน”
เมื่อมองเห็นใบหน้าของผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือสตรีที่อยู่หอเดียวกันแล้ว อาร์ดิสก็จดจำได้ทันที เขาก็คือ หนึ่งในกลุ่มหอ
โครนัสที่อยู่ในเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อคราวที่ช่วยคนของหอเฮอเมส แน่นอนว่าเฮเรียสและเซอเพนก็จำเขาได้อย่างแม่นยำ
ไอ้การพูดการจาที่เรียกได้ว่ากวนบาทาขั้นเทพเยี่ยงนี้คงจะลืมกันไม่ได้ง่ายๆ
“ดีแต่ปาก เวทย์ดินน่ะมันก็มีแต่พวกอ่อนหัดเท่านั้นแหละที่ใช้กัน”
บุรุษที่ไม่สามารถเห็นแม้แต่หน้าเริ่มมีน้ำโห เผลอตัวต่อปากต่อคำ
ในขณะที่หนุ่มหอโครนัสเริ่มนิ่วหน้า ขมวดคิ้ว แทบอยากจะไปบดขยี้ไอ้หมอนั่นให้มันรู้ซึ้งถึงพลังเวทย์ธาตุดินที่หาได้
อ่อนหัดอย่างที่มันกล่าว แต่ดูเหมือนจะมีคนช่วยสงเคราะห์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อั่ก....วะ...เวทย์ธาตุดิน ไม่จริง มันยังไม่ขยับอะไรเลยด้วยซ้ำ ทะ....ไม...”
บุรุษที่โผล่มาอย่างปริศนาโดนสวนกลับเข้าให้แล้ว เขาตกอยู่ใต้เงื้อมมือแห่งจ้าวปฐพี
“การมองข้ามผู้ใช้เวทย์ธาตุดินอีกคนหนึ่งไปแบบนี้น่ะ เขาเรียกว่าปัญญานิ่ม สมองกลวง ขอโทษที แม้ว่าจะไม่ได้มี
ความแค้นอะไรกันมาก่อนก็จริง แต่ที่พูดเมื่อกี้นี้มันกระทบฟ่ะ”
หนึ่งในผู้ใช้เวทย์ธาตุดินอย่างฟรานซิส เหตุไฉนเลยจะทนคำข่มเหงที่รุนแรงเยี่ยงนั้นได้ มันเป็นคำพูดที่ดูหมิ่นสุดจะข่ม
แล้วยืนอมยิ้มไหว เลยถึงขั้นระเบิดพลังความเกลี้ยวโกรธอย่างที่พวกเมจขั้นต้นไม่เคยเห็นรุ่นพี่คนนี้เป็นมาก่อน
“อ่ะ...อั่ก....หลังจากข้าโจมตีเมื่อครู่ เจ้าสลบอยู่แทะ.....อ่อก อ่อก”
เสียงของบุรุษปริศนาเหมือนจะถูกทำให้กล่าวอะไรไม่ได้ถนัดนัก
“เจ้า...บ้ารึเปล่า...” ฟรานซิสในขณะนี้หน้าตาน่ากลัวสุดๆ
เมื่อบุรุษปริศนาเหลือบไปมองยั่งที่ๆ เคยแลเห็นว่าฟรานซิสนอนสลบอยู่ แต่ที่ตรงนั้นกลับมีแต่ก้อนดินที่กองเป็นรูปร่าง
คล้ายๆ ร่างของคนเท่านั้น สิ่งที่เขาเห็นเมื่อตอนนั้นมันเป็นแค่ภาพลวงตาอย่างนั้นหรือนี่
“หึหึ ฮ่ะฮ่ะ ตอนนั้นเองเหรอ ตอนนั้นนั่นเองเหรอ ฮ่ะฮ่ะ”
จู่ๆ บุรุษหอโครนัสที่กำลังปกป้องสตรีหอเดียวกันก็หัวเราะลั่น เหมือนกับว่าเขานึกอะไรออกขึ้นมากะทันหัน
“หือ...หึหึ ถั่วต้มแล้วไอ้น้อง ฮ่ะฮ่ะ”
ฟรานซิสหัวร่อต่อกระซิกกับหนึ่งในหอโครนัสที่ยังหยัดยืนอยู่ เหมือนจะรู้เรื่องราวกันอยู่แค่คนสองคน แต่พวกอาร์ดิส
ก็ได้รับคำเฉลยข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวจากปากของดาเนอีที่เดินเข้ามาสมทบว่า
ขณะที่ถูกโจมตีด้วยพลังเวทย์จากบุรุษปริศนานั้น ฟรานซิสได้คว้าเอาตัวของดาเนอีไปอยู่อย่างที่ปลอดภัยได้ทัน
เหตุการณ์เกิดขึ้นไวมาก แต่ที่ดาเนอีจำได้คือจู่ๆ ฟรานซิสก็พูดอะไรแปลกๆ
‘กายข้าก่อเกิดจากถุลี จิตข้ายั่งปฐพี...........’
ดาเนอีฟังได้ศัพท์เพียงแค่นี้ ก่อนที่จะถูกอุ้มเข้าสู่ห้วงแห่งความมืดมิดชั่วขณะหนึ่ง แต่ที่แน่ใจมากที่สุดคือเธอได้กลิ่นไอ
ของผืนดินตลอดชั่วระยะเวลานั้น ก่อนที่สายตาเธอจะเปิดขึ้นเพื่อรับภาพ พร้อมกับเห็นใบหน้าของเพื่อนหนุ่มที่รู้จักกันตั้งแต่สมัย
เด็กอย่างฟรานซิสอีกครั้ง ใบหน้าของเพื่อนหนุ่มใกล้มากอย่างที่ไม่ได้มองมานานแล้ว (มัวแต่ทะเลาะกันน่ะสิ)
ครอบครัวของทั้งสองต่างก็สนิทสนมกัน ทำให้ไปมาหาสู่กันระหว่างเมืองบ่อยครั้ง กล่าวได้ว่าคนทั้งสองสนิทกันอย่างคนที่
รู้นิสัยใจคอ ชอบอะไรไม่ชอบอะไร และต้องการอะไร แต่การทะเลาะกันของดาเนอีกับฟรานซิสมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนั้น
ดาเนอีกับเจ้าตัวก็ลืมไปแล้ว
คงเพราะมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนรู้สึกเหมือนกับว่าจะมีบางอย่างเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง
ทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหิน
‘ขอโทษนะ อดทนหน่อยนะ....’ และ
‘ตอนมุดอุโมงค์ดินเมื่อกี้อึดอัดหรือเปล่า….ถึงที่ปลอดภัยแล้วล่ะ’
จากคำพูดดังกล่าว มันไม่ใช่เลย เธอคงจะคิดผิด และคิดไปเองฝ่ายเดียวมาโดยตลอด ฟรานซิสยังคงเหมือนเดิม เขายังคง
เป็นที่พึ่งให้กับเธอได้เสมอ และยังคอยปกป้องดูแลเธอเหมือนเดิมทุกอย่าง ซึ่งมันบ่งบอกผ่านทางรอยยิ้ม และน้ำเสียงที่อ่อนโยน
ของเขา
“หยึย....ดูหน้ารุ่นพี่ฟรานซิสสิ น่ากลัวชะมัดเลยอ่ะ...”
และแล้วบรรยากาศแห่งความซาบซึ้งก็ถูกทำลายโดยคำพูดของเซอเพน
แต่มันก็เป็นอย่างที่เซอเพนพูดจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนนี้ฟรานซิสดูน่ากลัวสุดๆ เขาคงจะถูกความโกรธเข้าครอบงำ ตอนนี้
เหมือนกับว่าเขาจะฆ่าบุรุษปริศนาที่อยู่ในเงื้อมมือ
“ไหนๆ ก็ต้องตายอยู่แล้ว จะบอกให้เอาบุญหน่อยก็แล้วกัน จะได้ตายอย่างไม่ค้างคาใจ สิ่งที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ เป็นวงศ์วานเวทย์
ประจำตระกูลไอออส ที่จะไม่เผยแพร่ให้แก่คนนอกตระกูล เจ้าจะไม่รู้จักก็คงไม่แปลก”
คำกล่าวของฟรานซิสบ่งบอกถึงความเกรียงไกรของศาสตร์เวทย์ธาตุปฐพี หาได้เป็นอย่างที่บุรุษปริศนากล่าวหาไม่ ตระกูล
ไอออสคือผู้นำศาสตร์เวทย์ธาตุปฐพีหาใครเทียบได้ยาก รายนามของผู้นำตระกูลไอออสต่างก็ได้รับกิติศัพท์ทั้งหมดทั้งสิ้น และหนึ่ง
ในนั้นก็คือ ฟิงซ์ ไอออส โล่พิทักษ์ราชันย์ จอมเวทย์คนที่สาม จอมเวทย์ธรณี ชื่อนี้ที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของนครแห่งนี้
“กรอด....อั่ก...”
บุรุษปริศนาทำได้เพียงแค่ยอมจำนนเท่านั้น ขัดขืนอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นจากเงื้อมมือนี้ไปได้
“หวังว่าเจ้าจะจำใส่สมองก่อนที่จะไปเยือนภพหน้า จงอย่าได้ดูถูกจอมเวทย์ธาตุดิน”
ฟรานซิสกล่าวอย่างกับว่าจะทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อปลิดชีพบุรุษปริศนาเสีย
“หยุดก่อนฟรานซิส...”
ดาเนอีห้ามปรามเขา เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร
“แต่มันจะฆ่าพวกเรา จะปล่อยมันไว้ไม่ได้”
ฟรานซิสยังคงไม่ผ่อนพลังเวทย์แม้แต่น้อย ซ้ำยังเพิ่มพลังเวทย์มากยิ่งขึ้น
“ฟรานซิส!!......”
ดาเนอีวิ่งเข้าไปจับแขนของฟรานซิสพร้อมกับประสานสายตา ไม่นานฟรานซิสก็ผ่อนพลังเวทย์ลงคงไว้แค่พอที่จะไม่ให้
บุรุษปริศนาหนีไปได้
“นาย...หอโครนัส พักการรบศึกระหว่างหอก่อน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือ แจ้งข่าวแก่ท่านมหาเวทย์ และคณาจารย์แมจิก”
ฟรานซิสกล่าวอย่างกับรู้ความคิดของดาเนอี
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพราะทางนี้ก็ทุ่มพลังไปป้องกันตัวเกือบหมดแล้ว”
หนุ่มหอโครนัสถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงจะโล่งใจที่ไม่ต้องต่อกรกับพวกวงศ์วานเวทย์ในขณะที่ตนเองตอนนี้ก็ไม่รู้จะ
เดินไหวหรือเปล่าเลยด้วยซ้ำ แถมยังต้องหอบสตรีหอเดียวกันที่ตนรับหน้าที่มาตามกลับไปอีก
‘เป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้เห็นวงศ์วานเวทย์ตระกูลไอออส ที่ลือชื่อในตำนาน แต่ให้มาแข่งกับตระกูลผู้นำเวทย์ธาตุดิน แบบนี้มัน
ศึกหนักเห็นๆ ’
หนุ่มหอโครนัสได้แต่กล่าวกับตัวเองว่า โชคดีเท่าไหร่ที่ไม่ต้องปะทะกับฟรานซิสตัวต่อตัว
“อั่ก....อ่ะ...อ๊ากกกกกก”
จู่ๆ บุรุษปริศนาก็ร้องอย่างเจ็บปวด แล้วก็คอพับไป ต่อหน้าต่อตาของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าเมจ
มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ฟรานซิสไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการกักขังด้วยเวทย์ธาตุดินมิใช่หรือ
“เขาตายแล้ว...บัดซบ!...”
ฟรานซิสกล่าว
“เขา...เขาฆ่าตัวตายเหรอค่ะ”
เป็นเสียงเล็กๆ ที่สั่นรัวของซีรีสที่เห็นภาพตายอนาถของบุรุษปริศนา
“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ และไม่ใช่ฝีมือฟรานซิสด้วย” อัลกอลกล่าวหลังเข้าไปสำรวจอย่างใกล้ชิด
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าบุรุษผู้นั้นตายได้อย่างไร และใครเป็นผู้สังหารเขา อาณาบริเวณโดยรอบช่างเงียบสงัดนักในชั่วขณะนี้
และความมืดก็ยังคงปกคลุมอยู่
ใครกันผู้ที่ลงมือสังหารบุรุษปริศนา มัจจุราชที่ดูดกลืนชีวิตและวิญญาณของคนผู้นี้ไป ร่างของบุรุษดังกล่าวที่แน่นิ่งไม่ไหวติงใดๆ
เขาเป็นใคร และทำไมเขาถึงได้บุกเข้ามายังโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอสแห่งนี้ในยามวิกาล ซ้ำยังมุ่งทำร้ายเหล่าเมจ
หลังเกิดเหตุดัวกล่าวได้ชั่วครู่ หนุ่มหอโครนัสก็กล่าวแก่เหล่าเมจหอไดอาน่าเป็นเชิงว่า ครั้งนี้พวกเขาอาจจะผิดพลาด
แต่ครั้งต่อไปโครนัสและไดอาน่าจะได้เห็นดีกัน และแม้ว่าอัลกอลจะอาสาช่วยคุ้มกันจนกว่าจะถึงที่พักของเขา เขาก็ปฏิเสธ
ความปรารถนาดีของอัลกอล ด้วยคำพูดที่ว่า
“ กะอีแค่อุ้มผู้หญิงคนเดียว ข้าคงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกถึงขนาดต้องให้ฝ่ายตรงข้ามมาช่วยคุ้มกัน เจ้าดูแลกลุ่มของเจ้าให้ดีเถอะ”
เมื่อหนุ่มโครนัสได้จากไปแล้ว แต่ปริศนายังคงอยู่ ร่างไร้วิญญาณนั้นยังคงตอกย้ำว่า พวกเขายังมีเรื่องราวที่ต้องมานั่งขบคิด
พวกเขาเพิ่งเฉียดตาย หากตายก็ตายอย่างไม่รู้สาเหตุการตายด้วยซ้ำ และตอนนี้ ณ ที่แห่งนี้ไม่มีคำว่าปลอดภัยอีกต่อไป เพราะฆาตกร
ก็ยังคงลอยนวลอยู่ เผลอๆ ก็ยังหลบซ่อนอยู่ในแถบนี้
หลังจากคนสองคนจากหอโครนัสได้ปลีกตัวไปแล้ว เฮเรียสจึงได้ทำการจุดพลุส่งสัญญาณ เพื่อแจ้งเหตุเหล่านี้แก่เหล่าคณาจารย์
ทั้งหลาย
เสียพลุดังกล่าวดังขึ้นพร้อมๆ กับที่คนของหอโครนัสทั้งสองกลับมาถึงเต็นท์ที่พักของฝ่ายหอโครนัส ที่ซึ่งโจฮันกำลังรอคอย
การกลับมาอยู่นั้น แต่เมื่อโจฮันเห็นสภาพเพื่อนทั้งสองแล้ว ยิ่งทำให้รู้ถึงการปะทะที่รุนแรง และฟังคำบอกเล่าจากปากของเพื่อนสนิททุกๆ
รายละเอียดของเหตุการณ์
ส่วนฝ่ายคณาจารย์แมจิกที่เพิ่งเปลี่ยนเวรสังเกตการณ์นั้น เมื่อเห็นพลุที่ส่องสว่างเหนือชั้นฟ้า ก็รีบกุลีกุจอเข้าไปแจ้งเหตุในทันใด
“หอไดอาน่ายิงพลุครับท่านมหาเวทย์ คงจะจบศึกแล้ว....”
แมจิกท่านหนึ่งกล่าวรายงาน ท่ามกลางสายตาจดจ้อง มันเป็นการรายงานที่ทำลายความเงียบยามราตรีไปเสียสิ้น
“ยังหรอก ชั่วครู่ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง”
ท่านมหาเวทย์กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเร่งรีบเพื่อไปยังจุดเกิดเหตุ
“เรียกหน่วยพยาบาลด้วย! พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้วหรือครับ ท่านอาจารย์”
แมจิกเอนเดเมี่ยนกล่าวสั่งการกับเจ้าหน้าที่ แล้วหันมาสนทนากับท่านมหาเวทย์ที่แสดงสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“มันรู้จักหาจังหวะดีแท้ ช่วงการแข่งขันระหว่างหอ หากเกิดการตาย ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าเป็นฝีมือของพวกมัน และการป้องกัน
อยู่ในระดับที่ต่ำถึงขีดสุด เหตุว่าเราไม่สามารถปกป้องเด็กๆ ได้ ในช่วงที่กำลังทำการแข่งขัน ได้แต่หวังว่าจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
หรือตาย ”
เหตุนี้เองคือสิ่งที่ทำให้ท่านมหาเวทย์เป็นกังวล ท่านคงคาดการณ์แล้วว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่ขณะการแข่งขัน
ศึกระหว่างหอ แต่จะล้มเลิกประเพณีที่ปฏิบัติมายาวนานนี้ไปเสียก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นการแข่งขันที่เหล่าเมจ หลายๆ คนรอคอย
หน้าที่ของผู้เป็นมหาเวทย์ที่ต้องปกครองและดูแลโรงเรียนแห่งนี้จะละเลยเสียมิได้ แต่หน้าที่ของผู้เป็นอาจารย์ การปกป้องศิษย์
อันเปรียบเสมือนลูกหลานก็ไม่อาจเพิกเฉยได้เช่นกัน
---จบตอนที่ 11---
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน และก็ต้องขอโทษสำหรับการลงที่แสนจะล่าช้า
ติ ชม แนะนำ ได้นะคะ
จากใจ ผู้เขียน