ตอนที่ 10 เจ็ดวันก่อนกำหนดศึกรอบที่สอง (ตอนท้าย) 5 วันแห่งการฝึกฝนกำลังจะจบลง ใช่แล้ว การแข่งขันในศึกระหว่างหอรอบที่ 2 จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่ง
หอที่ตกรอบตั้งแต่รอบแรก บางหอก็ทำเป็นไม่สนอกสนใจ แต่บางหอก็มาคอยเชียร์ หรือมาคอยดูศึกรอบที่ 2 นี้ว่า
หอใดจะได้เข้ารอบชิง และหอใดที่จะมาเป็นหมาหัวเน่าเหมือนกับตนเอง
แต่ที่แน่ๆ หอเฮอเมสโดยเฉพาะกลุ่มที่อาร์ดิสได้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้นั้น เชียร์หอไดอาน่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งกลุ่มของอาร์ดิสด้วยแล้ว แทบจะส่งเสบียงให้ระหว่างฝึกฝนกันเลยทีเดียว ถ้าเป็นไปได้คงมีผ้ายงผ้าเย็น เครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ
เป็นแน่แท้
‘เสียงเอะอะโวยวายอะไรกัน หรือว่าจะเป็นเซอเพน’
เฮเรียสครุ่นคิดอยู่ในใจขณะนั่งอยู่ที่โซฟาที่ชั้น 1 ภายในหอไดอาน่าเพียงรำพัง
เป็นครั้งแรกที่เฮเรียสอยู่เพียงรำพัง ตั้งแต่เข้ามาในโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์นี้ ยกเว้นตอนที่ฝึกฝนศาสตราวุธ
หรือตอนเข้าห้องน้ำ
‘จะว่าไป เราก็ไม่ได้อยู่รำพังแบบนี้ตั้งแต่ได้พบกับอาร์ดิส และเซอเพน ได้อยู่คนเดียวแบบนี้สบายหู สบายใจกว่ากันเยอะเลย’
เจ้าตัวพาลคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่พานพบประสบมาร่วมกับคนทั้ง 2
‘แรกเริ่มเดิมทีก็รู้จักแค่ 2 คนนี้ แต่พอผ่านไปก็ได้รู้จักกับรุ่นพี่ คณาจารย์ ท่านมหาเวทย์ที่พบหน้ากันบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ
แล้วก็ยังไปผูกมิตรกับคนต่างหออย่างหอเฮอเมส ไอ้เจ้าคอร์วีแด ไอ้หมอนี่มันต้องเป็นพวกรักร่วมเพศแหงๆ พอเจ้านั่นมาทีไร ต้องหลี
เข้าใส่อาร์ดิสทุกที แต่จะไปโทษมันก็ไม่ได้’
“ใครใช้ให้เจ้านั่นหน้าตาสวยเหมือนผู้หญิงกันเล่า”
“เจ้านั่น... เจ้านั่นที่เจ้าว่าหนะใครกันหว่า”
เฮเรียสเกือบจะกล่าวตอบกลับไป แต่ก็ต้องกลืนคำตอบไปพร้อมกับน้ำลายของตน เมื่อพลันนึกขึ้นได้ว่า ตนนั่งอยู่คนเดียว
จะมีใครมาสนทนาด้วยได้ยังไง เมื่อหันไปทางต้นเสียงปริศนาที่ฟังแล้วคุ้นหูอยู่ชอบกล ก็ต้องพบกับใบหน้าล้อเลียนของเซอเพน
“อะแน่...พอเจ้าหน้าสวยอาร์ดิสไม่อยู่ข้างกาย ก็อดคิดถึงไม่ได้หละซี้...”
“จะ...เจ้าพูดอะไรของเจ้า” เฮเรียสบอกปัดทันที
“เฮเรียส เจ้าไม่ต้องมาทำแอ๊บแบ๊ว อย่าว่าแต่ข้าเลย คนอ่านเค้าก็รู้กันหมดทั้งนั้นแหละ”
เซอเพนกัดไม่ปล่อย
“แอ๊บแบ๊ว...” เฮเรียสทวนคำพูดของเซอเพนด้วยสีหน้าที่งุนงง
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จักคำๆ นี้ เชยสะบัด คำว่า แอ๊บแบ๊ว มันใช้กับคนที่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่ตนเองก็รู้ แล้วยังจะ
ทำหน้าตาย แบบเจ้านั่นแหละ”
เซอเพนอธิบายอย่างชัดเจน
“อย่างนั้นเหรอ อืม” เฮเรียสตอบแบบสั้น และตัดบท
‘ดูมัน นี่ข้าว่ามันอยู่นะเนี่ย ยังมีหน้ามาทำหน้าหล่อใส่อีก’
เซอเพนคิดอย่างหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ได้แต่ทำหน้าปลงตกด้วยความละเหี่ยใจ
และในขณะที่เซอเพนกำลังปลงอยู่นั้น เจ้าตัวคงไม่ทันเห็นเฮเรียสที่หันหน้าไปทางโน้นที ทางนี้ที เหมือนกำลังมองหา
อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พบสิ่งที่กำลังหาเลยแม้แต่เงา
“เฮเรียส...เจ้า” เซอเพนหันมาเหมือนมีอะไรจะพูดกับเฮเรียส
“ไอ้เจ้านี่ มันชักจะกวนประสาทข้ามากเกินไปแล้ว เจ้าบ้าเฮเรียสเอ๊ย...จะไปก็ไม่บอกกันสักคำ”
และแล้วเซอเพนก็ถูกทิ้งให้คุยกับโซฟา เพราะเฮเรียสหายไปตั้งกะมะไหร่ก็ไม่รู้
ชายหนุ่มกำลังเดินไปตามเส้นทางภายในอาณาบริเวณของโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอส เขาแสดงท่าทางออกมา
อย่างคนที่กำลังตามหาอะไรสักอย่างหนึ่ง
ระหว่างทางเขาทำท่าจะเข้าไปถามคนแถวๆ นั้น แต่ก็ลังเล และสุดท้ายก็เดินเลยไป เป็นอันว่าไม่ได้ถามในที่สุด แต่เขา
ก็ยังคงเดินต่อไป และยังไม่คิดที่จะหยุดการกระทำเหล่านั้น
ชีวิตของเขาไม่เคยต้องมาเดินตามหาอะไรแบบนี้มาก่อน ไม่เห็นจะมีอะไรที่ต้องแคร์ และไม่เคยมีอาการที่คนเราเรียก
กันว่ากังวล หรือว่าห่วงหาใครบางคนมาก่อน
แต่บัดนี้ เหมือนกับว่าลึกๆ ภายในจิตใจของเขา ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อน ก่อนที่จะมายังที่แห่งนี้
ตอนนี้เขาอาจจะดูเหมือนทำอะไรไร้สาระในสายตาคนอื่น หรือแม้แต่ตัวเขาเอง หากเป็นแต่ก่อน ก็คงจะด่าตัวเองว่า
‘นี่เรามาเดินทำบ้าอะไรอยู่กันหละเนี่ย’
“เฮเรียส...!!...” เสียงตะโกนเรียกชื่อชายหนุ่มที่กำลังเดินอย่างไม่รู้จุดหมาย
เขามีรอยยิ้มที่มุมปากทันที และหันหน้าไปยั่งทิศทางที่เขาได้ยินเสียงเรียก แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็เลือนหายไป เมื่อเขา
ได้เห็นเจ้าของเสียง เพราะคนที่เรียกเขา ไม่ใช่คนที่เขาอยากจะพบ และกำลังตามหาอยู่ในขณะนี้
“ฮะ...เฮเรียส แฮ่กๆ ” ชายหนุ่มคนเดิมวิ่งมาหยุดตรงหน้าเขา
“...” เฮเรียสไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองตอบชายคนนั้น เขาไม่อยากสนทนากับใครในตอนนี้ สิ่งที่เขาอยากจะทำ
ตอนนี้ไม่ใช่การสนทนา แต่เป็นการตามหาคนตะหาก
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว...ฉอด ฉอด ฉอด” ชายคนนั้นกล่าวกับเฮเรียสอย่างรัวเร็ว จนจับใจความอะไรไม่ได้
มันยิ่งทำให้เฮเรียสหัวเสีย ทำไมเขาต้องมาฟังคนที่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง และเรื่องอะไรที่ไร้สาระในเวลาแบบนี้ด้วย
“นาย...สงบสติ หรือพักหายใจก่อนดีกว่าไหม”
เฮเรียสถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวตัดบทของคนที่พูดภาษาต่างดาว
“ขอโทษด้วย แต่มันเป็นเรื่องด่วน ข้าเลยลิ้นพันไปหน่อย”
ชายคนนั้นตอบด้วยสีหน้าหวั่นวิตก เหงื่อไหลจากหน้าผาก จนกระทั่งมันหยดจากปลายคางลงสู่พื้น
“ค่อยๆ เล่ามา ขอแบบสั้นๆ ไม่ต้องยืดยาว” เฮเรียสต้องฝืนรับฟัง ตัวเขาก็มีธุระเหมือนกัน
“เพื่อนในกลุ่มเรา ลอร่า ถูกไอ้พวกหอโครนัสเย้าแหย่ เท่านั้นยังไม่พอมันยังลากตัวเธอไปกับพวกมันอีกด้วย สายของ
หอเราเผอิญไปเห็นเหตุการณ์เข้า จึงรีบมารายงานพวกเรา พวกเราจึงรีบไปที่นั่นเพื่อจะช่วยเธอ แต่พวกมันมีประธานเมจขั้นต้น
ปีที่แล้วหนุนหลัง” ชายหนุ่มพักหายใจ
“...แล้ว...” เฮเรียสพูดสั้นๆ เป็นเชิงถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรอีกต่อจากนั้น
“เจ้าประธานนั่น เป็นกลุ่มเดียวกับที่ทำให้กลุ่มของเราบาดเจ็บสาหัส ในศึกรอบแรก ธาธัสหัวหน้ากลุ่มของเราจึง....”
ชายหนุ่มยังอธิบายไม่จบแต่
“จึงให้นายมาหาคนช่วย” เฮเรียสกล่าวจบเอง เพราะเกรงว่ามันจะยืดยาวไปกว่านี้
ชายหนุ่มคนนั้นจึงพยักหน้า
“สิ่งที่นายควรทำไม่ใช่มาบอกข้า แต่นายต้องไปบอกท่านแมจิกผู้ใดผู้หนึ่ง นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยแก้ปัญหานี้”
เฮเรียสกล่าวด้วยความที่ว่า เรื่องแบบนี้หนะมันไม่มีวันสิ้นสุดแน่นอน จนกว่าจะหาคนที่มีอำนาจมากพอที่จะยุติมันลงได้
“ข้าก็จะรีบไปบอกอยู่นี่แหละ แต่พอดีพบเจ้าก่อน ข้าคิดว่าควรจะบอกเจ้า เพราะว่า ตอนที่ข้าปลีกตัวออกมาระหว่างที่
พวกเรากำลังมะรุมมะตุ้มกันอยู่นั้นหนะ ข้าเห็นอาร์ดิส....”
แค่เอ่ยชื่อนี้เพียงเท่านั้น เฮเรียสก็หายวับไปในพริบตา ดั่งสายลมที่พัดผ่านมาวูบเดียวแล้วก็หายลับไป
ทิ้งชายหนุ่มที่หวังดีไว้เพียงรำพัง เขาทำได้เพียงเกาหัวแกรกๆ อย่างงุนงง
ณ ที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นเขตกรีนแลนด์ (ป่า) ของโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอส
“แกเป็นใคร อย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้านดีกว่า ไม่งั้นเจ็บตัวแน่ ไปซะ...”
หนึ่งในกลุ่มหอโครนัสพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ และมองมายังบุรุษที่ลงมาจากต้นไม้สูงๆ ต้นหนึ่งที่อยู่บริเวณ
นั้นพอดิบพอดี
แต่บุรุษผู้นั้นกลับนิ่งไม่ตอบ และด้วยเสื้อที่มีหมวกคลุมหัวนั่นทำให้พวกหอโครนัสไม่สามารถมองเห็นหน้าของเขาได้
ซึ่งผิดกับพวกหอเฮอเมสที่เห็นได้ชัดเจน ในขณะที่เขาลงมาจากต้นไม้ แล้วเงยหน้ามาสบตากันพอดี
“นี่หนะเหรอ การกระทำของสุภาพบุรุษ แห่งหอโครนัส รู้ถึงไหน ก็อายถึงนั่น”
บุรุษคลุมหมวกกล่าว เขาแสดงออกด้วยคำพูดอย่างชัดเจนว่า ถ้าไปทั้งๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรกับคำพูดที่มี
คนกล่าวเอาไว้ว่า หนีหางจุกก้น
“อย่าทำตัวเป็นฮีโร่หน่อยเลย จะเจ็บตัวเปล่าๆ ทางที่ดีเจ้าควรจะย้ายก้นของเจ้าออกไปจากตรงนี้ซะ ก่อนที่ข้า
จะหมดความอดทน”
หนึ่งในกลุ่มหอโครนัสโต้ตอบด้วยคำพูด
“คำพูดพวกนั้นหนะเจ้าควรจะหันไปพูดกับเพื่อนๆ ของเจ้า ให้พวกเขาย้ายก้นไปจากตรงนี้ซะ ก่อนที่คนอย่างข้า
จะหมดความอดทน”
บุรุษคลุมหมวกโต้กลับอย่างไม่ยี่หระ
“หนอย แกเป็นใครวะ มาต่อปากต่อคำ แล้วยังกล้ามาขับไล่ไสส่ง อ๋อ...เป็นห่วงยายนี่งั้นสิ หรือว่าแกเป็นพวกได้แต่เฝ้ามอง
คนมีเจ้าของ แอบหลงรักยายนี่อย่างงั้นเหรอหวะ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
หนึ่งในกลุ่มหอโครนัสยังคงต่อล้อต่อเถียงไม่หยุด
“โถๆ สวยๆ กว่านี้มีอีกถมเถไป อย่างข้าเนี่ยสวยกว่าตั้งเยอะ ข้าว่าเปลี่ยนใจมาชอบข้าจะดีกว่านะ คิกๆ”
สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มหอโครนัสเผยโฉมหน้าออกมาอวดว่าตนสวยเลิศเพียงใด
“เกรงใจจริงๆ แบบว่าข้าก็มีสเปกของข้าเอง ซึ่งสวยอย่างเดียวคงไม่ได้ คงต้องฉลาดด้วยหละนะ อืม...แบบเจ้าเนี่ย...”
บุรุษคลุมหมวกที่ยืนอยู่ระหว่างกลุ่มหอเฮอเมส กับหอโครนัส จู่ๆ ก็หายไปจากสายตาของทุกคน
“ข้าว่าไม่ผ่าน”
ที่แท้บุรุษผู้นั้นมาอยู่ข้างหลังสตรีหอโครนัสเสียแล้ว และยังกระซิบที่ข้างหูของเธอเสียอีก ทำให้พวกหอโครนัสรีบร่ายเวทย์
กันยกใหญ่ เพราะเกรงว่าเขาจะเล่นงานพวกของตน
แต่สิ่งที่พวกนั้นร่ายเวทย์ใส่กลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า เมื่อหมู่ควันจางลง ยิ่งไปกว่านั้น สาวที่เจ้าพวกหอโครนัส
ฉุดกระฉากลากถูมา หรือก็คือ ลอร่า สาวเพียงหนึ่งในกลุ่มของหอเฮอเมส หรือก็คือแฟนของธาธัส หัวหน้ากลุ่ม กลุ่มนี้ของ
หอเฮอเมสนั่นเอง
ลอร่าได้รับการช่วยเหลือจากบุรุษคลุมหมวก และได้กลับสู่อ้อมกอดของธาธัสเป็นที่เรียบร้อย ภายในเวลาไม่กี่วินาที
ส่งผลให้พวกหอโครนัสเดือดดาลกับการสูญเสียของเล่นแก้เซ็ง แต่ถึงกระนั้นพวกโครนัสก็รู้สึกได้ว่า บุรุษคลุมหมวกนั่นฝีมือ
ไม่ใช่พวกปลายแถวเสียแล้ว
“พวกเจ้าถอยไป...ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง ไม่เจียมกะลาหัว ยุ่มย่ามไม่เข้าเรื่อง คงจะอยากเจ็บตัวมาก...”
หนึ่งในคนฝั่งหอโครนัสที่ยืนเฉยๆ มานาน เริ่มออกอาการเดือด
“เดี๋ยวก่อน...” คนของหอโครนัสที่นั่งพิงอยู่ตรงโคนต้นไม้เพียงคนเดียวกล่าว
น่าแปลกที่คนๆ นี้แค่เอ่ยคำเดียวพวกหอโครนัสก็พากันเงียบกริบ ไม่มีการโวยวายใดๆ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่า คนผู้นี้มี
อำนาจสั่งการ และคงจะเป็นถึงขั้นพวกมือขวา หรือไม่ก็ถึงขั้นหัวโจกเลยก็อาจจะเป็นได้
คนผู้นั้นค่อยๆ เดินผ่านกลุ่มหอโครนัสที่ยืนเรียงเป็นหน้ากระดาน โดยที่ไม่ชนใคร เพราะไม่มีใครกล้ายืนขวางเขาแม้แต่
คนเดียว ต่างพากันหลีกทางให้อย่างไม่ต้องเอ่ยปากบอก
และตอนนี้เขาก็กำลังยืนเผชิญหน้ากับ บุรุษคลุมหมวก ต่างฝ่ายต่างจดจ้องกัน โดยที่ไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคำ
“กลัวเหรอ....” ในที่สุดฝ่ายหอโครนัสก็ปริปากพูดออกมาก่อน
“...” แต่บุรุษคลุมหมวกกลับนิ่งไม่ตอบเช่นเคย
“เจ้ากลัวว่าข้าจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าขนาดนั้นเชียวเหรอ ถึงได้ไม่ยอมเผยโฉมหน้า และหลบซ่อนอยู่ใต้
หมวกคลุมเช่นนั้น”
ฝ่ายหอโครนัสกล่าวต่ออย่างเย้ยหยัน ตามด้วยเสียงหัวร่อของพวกหอโครนัสที่อยู่เบื้องหลัง
“ไม่จำเป็น...หรือต่อให้เห็นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าได้รับชัยชนะ เพราะถึงอย่างไร ข้าก็ไม่มีวันปล่อยให้พวกเจ้า
ทำพฤติกรรมที่ต่ำทรามเยี่ยงนี้ เว้นแต่...พวกเจ้าจะไปจากตรงนี้เสียแต่บัดนี้ หรือเจ้าว่าไง”
บุรุษคลุมหมวกเริ่มปริปากบ้าง
คำพูดของบุรุษคลุมหมวกได้ผลดีเสียจริงๆ เพราะมันทำให้อีกฝ่ายถึงกับหุบยิ้มหยันในทันทีที่สิ้นเสียงของเขา
แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามจู่ๆ ก็หายไปจากสัมผัสทางตา การเคลื่อนไหวของฝ่ายหอโครนัสรวดเร็วเช่นกัน
ชั่ววูบเดียวก็เข้ามาคว้าตัวบุรุษคลุมหมวกได้
แต่คว้าได้ในครั้งที่สอง ครั้งแรกบุรุษคลุมหมวกหลบได้ทัน แต่ครั้งที่สองเขาเสียท่าเพราะ ฝ่ายโครนัสดันพุ่ง
จะไปทำร้ายคนของหอเฮอเมส ซึ่งบุรุษคลุมหมวกคงไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น จึงรีบเข้าไปช่วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้ฝ่าย
โครนัสเปลี่ยนเป้าหมายหันมาทางบุรุษคลุมหมวกเสียเอง และมันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจแต่แรกอยู่แล้ว
เค้าคว้าคอเสื้อที่เป็นส่วนต่อระหว่างเสื้อและหมวกที่คลุม ในที่สุดชายผู้รุกเร้าฝ่ายหอโครนัสก็ได้เห็นใบหน้าของ
บุรุษคลุมหมวก
บุรุษคลุมหมวกบัดนี้ไม่มีอะไรปิดบังอำพรางใบหน้าของเขาอีกต่อไป ก็ยังดีที่ไม่ดึงจนขาด แต่ก็เสียท่าเข้าแล้ว
ซึ่งเขาอดที่จะหงุดหงิดเสียไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ ยิ่งเป็นเพื่อนของเขาด้วยแล้วยิ่งยอมไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากวินาทีนั้นได้ไม่นาน ก็มีบางอย่างที่แยกเขาทั้งสองออกจากกัน สิ่งๆ นั้นมันเป็นพลังเวทย์ธาตุวายุ ซึ่งมัน
มิได้ยิงใส่ บุรุษที่เคยคลุมหมวก กลับเข้าปกป้องเขาเสียด้วยซ้ำไป
ส่วนฝ่ายหอโครนัสนั้น มีแต่เวทย์โจมตีล้วนๆ แต่เขาก็หลบหลีกมันได้หวุดหวิดเลยทีเดียว
เจ้าของพลังเวทย์ธาตุวายุนั้น ไม่สนใจผู้ใดนอกจาก คนที่อยู่ในม่านป้องกันที่เขาเป็นคนสร้างขึ้น
“บาดเจ็บหรือเปล่า” เจ้าของพลังเวทย์ธาตุวายุถาม
“ปะ...เปล่า” บุรุษที่เคยคลุมหมวกตอบกลับ
“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ อาร์ดิส”
เจ้าของมือบอบบางที่ได้รับการช่วยเหลือ ถามผู้ที่ช่วยเหลือตนอย่างเป็นห่วงไม่แพ้กัน
“อืม อย่าห่วงไปเลย ลอร่า อย่างที่เจ้าเห็นหนะแหละ ข้าไม่มีบาดแผลสักนิดเดียว” อาร์ดิสตอบ
“พระเอกมาแล้ว...หลบหน่อย...” (เอ็งไปเป็นพระเอกเมื่อไหร่เนี่ยเซอเพน) เสียงมาก่อนตัวเลยรายนี้
เบื้องหลังเซอเพนมีบุรุษที่ไม่ธรรมดาตามมาด้วย จะใครเสียอีกหละ ถ้าไม่ใช่ท่านมหาเวทย์เซอุส และต่อท้ายด้วย
ท่านแมจิกเอนเดเมี่ยน และวิ่งตามกันมาติดๆ ท่านแมจิกแห่งหอโครนัส และท่านแมจิกแห่งหอเฮอเมส ปิดท้ายด้วย
ผู้รายงานสถานการณ์ที่ธาธัสได้ส่งเขาไป
“ข้าต้องขออภัยอย่างยิ่ง ท่านมหาเวทย์เซอุส เป็นความผิดของข้าเอง ที่อบรมศิษย์ได้ไม่ดีพอ ข้าช่างเป็นผู้ที่ไร้ซึ่ง
ความสามารถเยี่ยงนัก” ท่านแมจิกแห่งหอโครนัสกล่าว
การที่ศิษย์ในการปกครองของตน ลงมือกระทำการใดๆ ที่สร้างความเดือดร้อน สร้างปัญหา ตลอดจนสร้าง
ความเสื่อมเสียให้แก่โรงเรียน นับว่าเป็นความผิดของผู้อบรมสั่งสอนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์
ท่านมหาเวทย์เซอุสเพียงแค่ยิ้มให้ มันเป็นรอยยิ้มที่มิได้เสแสร้งแต่อย่างใด
“ถ้าหากว่าการทำผิดของศิษย์กลุ่มหนึ่ง มันเป็นความผิดของเจ้า การที่ศิษย์ทั้งหมดของโรงเรียนนี้กระทำผิด
มันก็เป็นความผิดของข้าเฉกเช่นเดียวกัน”
ท่านมหาเวทย์เซอุสกล่าวเช่นนั้น ทำให้ท่านแมจิกแห่งหอโครนัสพูดอะไรไม่ออก ได้แต่โค้งคำนับหนึ่งครั้ง
ด้วยความซาบซึ้ง และศรัทธายิ่ง ‘ช่างเป็นบุคคลที่คิดอะไรลึกซึ้งเยี่ยงนี้’
“ไม่มีใครบาดเจ็บสินะ...”
ท่านมหาเวทย์เซอุสเอ่ยออกมา แล้วก็ส่งยิ้มให้กับฝ่ายโครนัส ฝ่ายเฮอเมส และกลุ่มอาร์ดิส
“มันถึงเวลาอาหารเย็นแล้วมิใช่หรือ อาร์ดิส เฮเรียส เซอเพน และพวกเธอหอเฮอเมส”
ท่านมหาเวทย์เซอุสเลิกคิ้ว ในระหว่างที่กล่าว
เพียงเท่านั้นอาร์ดิส และเฮเรียสก็เข้าใจในทันที พวกเขาควรจะไปจากที่นี่เสียตอนนี้ ตามที่ท่านมหาเวทย์พูดอ้อมๆ
ที่แน่ๆ ก็คือลากเจ้าเซอเพน และพวกหอเฮอเมสไปด้วย
ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น มีแต่ท่านมหาเวทย์ ท่านแมจิกทั้งสองหอ และท่านแมจิกเอนเดเมี่ยน รวมไปถึงเจ้าพวก
หอโครนัสเท่านั้นที่รู้ (และคนเขียน...มั้ง)
---------------------------จบตอนที่ 10---------------------------
ฮิฮุฮิฮุ ขออภัยในความล่าช้าอย่างสุดขีด สำหรับผู้ที่รอคอย
ด้วยความที่งานมันล้นเสียจน เรียงเป็นตั้งเดียวก็คงจะเลยหัว
ประมาณคลื่นซึนามิอะไรเถือกๆ นั้น มิได้กัวแต้ หรือว่าแก้ตัว
เอาเป็นว่ามาลงให้แล้วนะเจ้าค่ะ ช้าๆ แต่ชัวร์ค่ะ
ปล. ขอบคุณท่านผู้อ่าน ที่ติดตามอ่านด้วยค่ะ ^w^V
---------------------------จากใจผู้เขียน---------------------------