หน้าแรก    • ธนาคารกลาง  • ห้องแช็ท  • วิทยุออนไลน์  • ช่วยเหลือ  • ค้นหา  • เข้าสู่ระบบ  • สมัครสมาชิก  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ 11 ศึกรอบที่สอง (ตอนท้าย)  (อ่าน 8875 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ว่างเปล่า...

ทร่ามกลางหมู่ดาวมากมาย มีเพียงดาวดวงเดียวที่ส่องสว่าง นั้นก็คือ...เธอ

ฉันอยากไปยังที่แห่งหนึ่ง

หญิง Thailand
 184
 101
 100



Windows XP Firefox 7.0.1
« เมื่อ: ตุลาคม 24, 2554, 02:19:53 PM »

ตอนที่ 11 ศึกรอบที่สอง (ตอนท้าย)


          'พวกหอโครนัสจริงๆ ด้วยสินะ'  ...เฮเรียสที่อยู่ในเต็นท์ยังคงแค่แอบฟังเฉยๆ โดยยังไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น

          “...นี่...เจ้า....เจ้าจะอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”

          เฮเรียสได้ยินเสียงกระซิบของอาร์ดิส ทำให้เขารู้สึกตัวว่าเขากำลังเอาแขนและตัวกดตัวอาร์ดิสมาได้พักใหญ่แล้ว
แต่เมื่อเขาหันหน้ามาสายตาของคนทั้งคู่ต่างประสานกัน ในขณะนั้นพวกเขาเหมือนรู้สึกว่าเสียงภายนอกที่เคยดังรบกวน
ได้เงียบหายไป อย่างกับว่าเวลาและโลกทั้งใบนี้หยุดหมุน

          แต่เวลาคงหยุดแค่ชั่วครู่เดียว เมื่อมีเสียงจากทางด้านประตูหลังของเต็นท์ ซึ่งทำให้อาร์ดิสต้องเงยหัวเพื่อให้เห็น
ด้านหลัง แล้วก็พบว่าผู้ที่เรียกตนและเฮเรียสแบบแผ่วเบาคือเซอเพน

          เซอเพนคลานหมอบมากับพื้นหญ้าอย่างกะงูหรือปลาไหล เพื่อมาสมทบกับอาร์ดิส และเฮเรียส เพราะคาดการณ์ว่า
สองคนนี้จะต้องตื่นแล้วแน่ๆ เพราะเป็นพวกหูตาไวอย่างกับสัปปะรด (เสียงดังขนาดนั้นไม่ตื่นก็บ้าแล้ว~  รูดซิบปาก)

          เมื่อเซอเพนมาถึงเต็นท์เป้าหมายเขาไม่รีรอชักช้าพอเรียกชื่อแบบกระซิบเบาๆ แล้วก็เอามือแง้มเปิดเต็นท์ของทั้งคู่
ทันที และแล้วก็ได้เห็นเพื่อนเกลอทั้งคู่นั่งอยู่กันคนละฟากของเต็นท์ เหมือนอย่างกับตรงกลางเต็นท์มีอะไรที่น่าขยะแขยง
ขั้นกลางอยู่

          “...ทำไรของพวกเจ้ากันอยู่เนี่ย? ” เซอเพนถามด้วยเสียงกระซิบที่เบาที่สุดเท่าที่จะข่มความสงสัยไว้ได้

          “...เปล่า...” มันเป็นการตอบคำถามที่สั้นและประสานเสียงกันแบบไม่ได้นัดหมาย

          นั่นหละยิ่งทำให้มันยิ่งน่าสงสัยเข้าไปอีก แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพรรค์นี้ กำลังหน้าสิวหน้าขวาน ศัตรูบุกมาถึงที่
แบบนี้ควรจะรับมือยังไง (เซอเพนก็มีช่วงจริงจังกับชีวิตกับคนอื่นเค้าเหมือนกัน สุโค่ย....)

          “จะโชว์ตัวเลยไหมหรือว่า...” เซอเพนถามอย่างต้องการคำตอบที่ลงมติโดยแกนนำทั้งสอง

          “ยังก่อน...ดูท่าทีของอีกฝ่ายให้ถี่ถ้วนกว่านี้หน่อยน่าจะดีกว่า” เฮเรียสกล่าวเบาๆ

          เซอเพนหันมาทางอาร์ดิสเพื่อต้องการให้เขายืนยันว่าจะทำตามคำพูดของเฮเรียสหรือว่ามีความเห็นอื่นที่ดีกว่าหรือไม่

          “ข้าว่าเราควรจะออกจากเต็นท์ไปหามุมที่ได้เปรียบมากกว่านี้ เพื่อจะได้เห็นเหตุการณ์ภายนอกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากต้อง
ปะทะก็จะได้ลงมือได้ทันท่วงที”

          เฮเรียสพอใจกับความคิดเห็นเสริมจากอาร์ดิส เขาจึงแสดงออกด้วยการพยักหน้าหนึ่งที ทั้งสามทำท่าเหมือนกำลังจะ
เปลี่ยนอิริยาบถเพื่อเตรียมตัว ยังไม่ทันที่จะเคลื่อนตัวออกจากเต็นท์ เหตุการณ์ภายนอกกลับทำให้ทั้งสามต้องลุกเดี๋ยวนั้น
โดยละทิ้งข้อตกลงเมื่อครู่ไปโดยไม่ต้องถาม

          “หึ หึ อย่างกับเด็กๆ ที่พึ่งหัดเดิน น่าสมเพจ”

          ก่อนหน้าที่จะได้ยินเสียงสบประมาทเหล่านี้ กลุ่มหอไดอาน่าและกลุ่มหอโครนัสอีกจำนวน 2 คน ต่างก็ต้องตกตะลึง
ไปกับพลังเวทย์ปริศนาที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้าทำลายบริเวณที่ตั้งเต็นท์ของกลุ่มหอไดอาน่าของพวกอาร์ดิส โดยไม่มีการออมมือแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่ากะเอาตายหมู่ แบบไม่สนว่าใครอยู่ฝ่ายไหน

          วิถีทำลายล้างของพลังเวทย์นั้นทำให้ผืนดินกลายเป็นแอ่งขนาดใหญ่ บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพลังเวทย์ ซึ่งวิถี
ดังกล่าวมาจากผู้ปลดปล่อยปริศนา หรือว่าเขาคือหนึ่งในฝ่ายหอโครนัสที่ชายคนนั้นกล่าวถึงที่มีนามว่า...โจฮัน

          “เวทย์ธาตุมืด...”

          อาร์ดิสเปรยออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอที่คละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณที่พวกตนเคยตั้งเต็นท์ ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่
ได้พบกับท่านแมจิกเอนเดเมี่ยน เธอเคยรับรู้ความรู้สึกของกลิ่นไอเช่นนี้ และเมื่อครั้งผนึกวิถีเวทย์ของคอร์วีแดก็เช่นกัน อาร์ดิส
ไม่เคยสงสัยเรื่องที่คอร์วีแดจะมีรากฐานธาตุเวทย์คือธาตุมืดเลยแม้แต่น้อย แต่อย่างไรเสียมันก็ยังเจือจางกว่าตอนนี้มากนัก

          “อึก...หวิดดับแล้วไหมล่ะ” เซอเพนกลืนน้ำลายอย่างกับลูกกระเดือกมาขวางท่อลำเลียง

          “แปลก...” เฮเรียสเอามือมาสัมผัสบริเวณคางของตน

          “แปลกอะไรกันเล่า เห็นชัดๆ ว่าพวกโครนัสมันกะเอาตายกันเห็นๆ ทั้งๆ ที่มีพวกมันอยู่ด้วยแท้ๆ โหดชะมัด ไอ้พวก
เลือดเย็นเอ๊ย”

           เซอเพนกล่าวด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

          “ผิดแล้วเซอเพน คนผู้นั้นไม่ใช่พวกหอโครนัสหรอก ดูจากการส่งคนตามมาช่วยผู้หญิงหอโครนัสนั่นแล้ว ไม่มีทางที่จะ
ทำร้ายพวกเดียวกัน คนผู้นั้นคงเป็นคนนอกมากกว่า”

          อาร์ดิสค้านพร้อมแจงเหตุผลประกอบ

          “หึ นับว่าหอไดอาน่ายังมีคนฉลาดอยู่บ้าง เจ้านั่นไม่ใช่พวกของเราหรอก แต่เป็นไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ที่จู่ๆ ก็เข้ามาก่อกวน
ชาวบ้านชาวช่อง คงเป็นพวกหลงตัวเองสุดกู่ และคงอยากจะเสริมสารอาหารจำพวกโปรตีน”

         เมื่อมองเห็นใบหน้าของผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือสตรีที่อยู่หอเดียวกันแล้ว อาร์ดิสก็จดจำได้ทันที เขาก็คือ หนึ่งในกลุ่มหอ
โครนัสที่อยู่ในเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อคราวที่ช่วยคนของหอเฮอเมส แน่นอนว่าเฮเรียสและเซอเพนก็จำเขาได้อย่างแม่นยำ
ไอ้การพูดการจาที่เรียกได้ว่ากวนบาทาขั้นเทพเยี่ยงนี้คงจะลืมกันไม่ได้ง่ายๆ

          “ดีแต่ปาก เวทย์ดินน่ะมันก็มีแต่พวกอ่อนหัดเท่านั้นแหละที่ใช้กัน”

          บุรุษที่ไม่สามารถเห็นแม้แต่หน้าเริ่มมีน้ำโห เผลอตัวต่อปากต่อคำ

          ในขณะที่หนุ่มหอโครนัสเริ่มนิ่วหน้า ขมวดคิ้ว แทบอยากจะไปบดขยี้ไอ้หมอนั่นให้มันรู้ซึ้งถึงพลังเวทย์ธาตุดินที่หาได้
อ่อนหัดอย่างที่มันกล่าว แต่ดูเหมือนจะมีคนช่วยสงเคราะห์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

          “อั่ก....วะ...เวทย์ธาตุดิน ไม่จริง มันยังไม่ขยับอะไรเลยด้วยซ้ำ ทะ....ไม...”

          บุรุษที่โผล่มาอย่างปริศนาโดนสวนกลับเข้าให้แล้ว เขาตกอยู่ใต้เงื้อมมือแห่งจ้าวปฐพี

          “การมองข้ามผู้ใช้เวทย์ธาตุดินอีกคนหนึ่งไปแบบนี้น่ะ เขาเรียกว่าปัญญานิ่ม สมองกลวง ขอโทษที แม้ว่าจะไม่ได้มี
ความแค้นอะไรกันมาก่อนก็จริง แต่ที่พูดเมื่อกี้นี้มันกระทบฟ่ะ”

         หนึ่งในผู้ใช้เวทย์ธาตุดินอย่างฟรานซิส เหตุไฉนเลยจะทนคำข่มเหงที่รุนแรงเยี่ยงนั้นได้ มันเป็นคำพูดที่ดูหมิ่นสุดจะข่ม
แล้วยืนอมยิ้มไหว เลยถึงขั้นระเบิดพลังความเกลี้ยวโกรธอย่างที่พวกเมจขั้นต้นไม่เคยเห็นรุ่นพี่คนนี้เป็นมาก่อน

          “อ่ะ...อั่ก....หลังจากข้าโจมตีเมื่อครู่ เจ้าสลบอยู่แทะ.....อ่อก อ่อก”

          เสียงของบุรุษปริศนาเหมือนจะถูกทำให้กล่าวอะไรไม่ได้ถนัดนัก

          “เจ้า...บ้ารึเปล่า...”  ฟรานซิสในขณะนี้หน้าตาน่ากลัวสุดๆ

          เมื่อบุรุษปริศนาเหลือบไปมองยั่งที่ๆ เคยแลเห็นว่าฟรานซิสนอนสลบอยู่ แต่ที่ตรงนั้นกลับมีแต่ก้อนดินที่กองเป็นรูปร่าง
คล้ายๆ ร่างของคนเท่านั้น สิ่งที่เขาเห็นเมื่อตอนนั้นมันเป็นแค่ภาพลวงตาอย่างนั้นหรือนี่

          “หึหึ ฮ่ะฮ่ะ ตอนนั้นเองเหรอ ตอนนั้นนั่นเองเหรอ ฮ่ะฮ่ะ”

          จู่ๆ บุรุษหอโครนัสที่กำลังปกป้องสตรีหอเดียวกันก็หัวเราะลั่น เหมือนกับว่าเขานึกอะไรออกขึ้นมากะทันหัน

          “หือ...หึหึ ถั่วต้มแล้วไอ้น้อง ฮ่ะฮ่ะ”

          ฟรานซิสหัวร่อต่อกระซิกกับหนึ่งในหอโครนัสที่ยังหยัดยืนอยู่ เหมือนจะรู้เรื่องราวกันอยู่แค่คนสองคน แต่พวกอาร์ดิส
ก็ได้รับคำเฉลยข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวจากปากของดาเนอีที่เดินเข้ามาสมทบว่า

          ขณะที่ถูกโจมตีด้วยพลังเวทย์จากบุรุษปริศนานั้น ฟรานซิสได้คว้าเอาตัวของดาเนอีไปอยู่อย่างที่ปลอดภัยได้ทัน
เหตุการณ์เกิดขึ้นไวมาก แต่ที่ดาเนอีจำได้คือจู่ๆ ฟรานซิสก็พูดอะไรแปลกๆ

          ‘กายข้าก่อเกิดจากถุลี จิตข้ายั่งปฐพี...........’

          ดาเนอีฟังได้ศัพท์เพียงแค่นี้ ก่อนที่จะถูกอุ้มเข้าสู่ห้วงแห่งความมืดมิดชั่วขณะหนึ่ง แต่ที่แน่ใจมากที่สุดคือเธอได้กลิ่นไอ
ของผืนดินตลอดชั่วระยะเวลานั้น ก่อนที่สายตาเธอจะเปิดขึ้นเพื่อรับภาพ พร้อมกับเห็นใบหน้าของเพื่อนหนุ่มที่รู้จักกันตั้งแต่สมัย
เด็กอย่างฟรานซิสอีกครั้ง ใบหน้าของเพื่อนหนุ่มใกล้มากอย่างที่ไม่ได้มองมานานแล้ว  (มัวแต่ทะเลาะกันน่ะสิ)

          ครอบครัวของทั้งสองต่างก็สนิทสนมกัน ทำให้ไปมาหาสู่กันระหว่างเมืองบ่อยครั้ง กล่าวได้ว่าคนทั้งสองสนิทกันอย่างคนที่
รู้นิสัยใจคอ ชอบอะไรไม่ชอบอะไร และต้องการอะไร แต่การทะเลาะกันของดาเนอีกับฟรานซิสมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนั้น
ดาเนอีกับเจ้าตัวก็ลืมไปแล้ว

          คงเพราะมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนรู้สึกเหมือนกับว่าจะมีบางอย่างเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง
ทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหิน

          ‘ขอโทษนะ อดทนหน่อยนะ....’    และ  

          ‘ตอนมุดอุโมงค์ดินเมื่อกี้อึดอัดหรือเปล่า….ถึงที่ปลอดภัยแล้วล่ะ’

          จากคำพูดดังกล่าว มันไม่ใช่เลย เธอคงจะคิดผิด และคิดไปเองฝ่ายเดียวมาโดยตลอด ฟรานซิสยังคงเหมือนเดิม เขายังคง
เป็นที่พึ่งให้กับเธอได้เสมอ และยังคอยปกป้องดูแลเธอเหมือนเดิมทุกอย่าง ซึ่งมันบ่งบอกผ่านทางรอยยิ้ม และน้ำเสียงที่อ่อนโยน
ของเขา

          “หยึย....ดูหน้ารุ่นพี่ฟรานซิสสิ น่ากลัวชะมัดเลยอ่ะ...”

          และแล้วบรรยากาศแห่งความซาบซึ้งก็ถูกทำลายโดยคำพูดของเซอเพน

          แต่มันก็เป็นอย่างที่เซอเพนพูดจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนนี้ฟรานซิสดูน่ากลัวสุดๆ เขาคงจะถูกความโกรธเข้าครอบงำ ตอนนี้
เหมือนกับว่าเขาจะฆ่าบุรุษปริศนาที่อยู่ในเงื้อมมือ

          “ไหนๆ ก็ต้องตายอยู่แล้ว จะบอกให้เอาบุญหน่อยก็แล้วกัน จะได้ตายอย่างไม่ค้างคาใจ สิ่งที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ เป็นวงศ์วานเวทย์
ประจำตระกูลไอออส ที่จะไม่เผยแพร่ให้แก่คนนอกตระกูล เจ้าจะไม่รู้จักก็คงไม่แปลก”

          คำกล่าวของฟรานซิสบ่งบอกถึงความเกรียงไกรของศาสตร์เวทย์ธาตุปฐพี หาได้เป็นอย่างที่บุรุษปริศนากล่าวหาไม่ ตระกูล
ไอออสคือผู้นำศาสตร์เวทย์ธาตุปฐพีหาใครเทียบได้ยาก รายนามของผู้นำตระกูลไอออสต่างก็ได้รับกิติศัพท์ทั้งหมดทั้งสิ้น และหนึ่ง
ในนั้นก็คือ ฟิงซ์ ไอออส โล่พิทักษ์ราชันย์ จอมเวทย์คนที่สาม จอมเวทย์ธรณี ชื่อนี้ที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของนครแห่งนี้  
          
          “กรอด....อั่ก...”  

          บุรุษปริศนาทำได้เพียงแค่ยอมจำนนเท่านั้น ขัดขืนอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นจากเงื้อมมือนี้ไปได้

          “หวังว่าเจ้าจะจำใส่สมองก่อนที่จะไปเยือนภพหน้า จงอย่าได้ดูถูกจอมเวทย์ธาตุดิน”

          ฟรานซิสกล่าวอย่างกับว่าจะทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อปลิดชีพบุรุษปริศนาเสีย

          “หยุดก่อนฟรานซิส...”  

          ดาเนอีห้ามปรามเขา เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

          “แต่มันจะฆ่าพวกเรา จะปล่อยมันไว้ไม่ได้”  

          ฟรานซิสยังคงไม่ผ่อนพลังเวทย์แม้แต่น้อย ซ้ำยังเพิ่มพลังเวทย์มากยิ่งขึ้น

          “ฟรานซิส!!......”  

          ดาเนอีวิ่งเข้าไปจับแขนของฟรานซิสพร้อมกับประสานสายตา ไม่นานฟรานซิสก็ผ่อนพลังเวทย์ลงคงไว้แค่พอที่จะไม่ให้
บุรุษปริศนาหนีไปได้

          “นาย...หอโครนัส พักการรบศึกระหว่างหอก่อน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือ แจ้งข่าวแก่ท่านมหาเวทย์ และคณาจารย์แมจิก”

          ฟรานซิสกล่าวอย่างกับรู้ความคิดของดาเนอี

          “ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพราะทางนี้ก็ทุ่มพลังไปป้องกันตัวเกือบหมดแล้ว”

          หนุ่มหอโครนัสถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงจะโล่งใจที่ไม่ต้องต่อกรกับพวกวงศ์วานเวทย์ในขณะที่ตนเองตอนนี้ก็ไม่รู้จะ
เดินไหวหรือเปล่าเลยด้วยซ้ำ แถมยังต้องหอบสตรีหอเดียวกันที่ตนรับหน้าที่มาตามกลับไปอีก

           ‘เป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้เห็นวงศ์วานเวทย์ตระกูลไอออส ที่ลือชื่อในตำนาน แต่ให้มาแข่งกับตระกูลผู้นำเวทย์ธาตุดิน แบบนี้มัน
ศึกหนักเห็นๆ ’

          หนุ่มหอโครนัสได้แต่กล่าวกับตัวเองว่า โชคดีเท่าไหร่ที่ไม่ต้องปะทะกับฟรานซิสตัวต่อตัว

          “อั่ก....อ่ะ...อ๊ากกกกกก”

          จู่ๆ บุรุษปริศนาก็ร้องอย่างเจ็บปวด แล้วก็คอพับไป ต่อหน้าต่อตาของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าเมจ
มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ฟรานซิสไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการกักขังด้วยเวทย์ธาตุดินมิใช่หรือ

          “เขาตายแล้ว...บัดซบ!...”

          ฟรานซิสกล่าว

          “เขา...เขาฆ่าตัวตายเหรอค่ะ”  

          เป็นเสียงเล็กๆ ที่สั่นรัวของซีรีสที่เห็นภาพตายอนาถของบุรุษปริศนา

          “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ และไม่ใช่ฝีมือฟรานซิสด้วย”  อัลกอลกล่าวหลังเข้าไปสำรวจอย่างใกล้ชิด

          ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าบุรุษผู้นั้นตายได้อย่างไร และใครเป็นผู้สังหารเขา อาณาบริเวณโดยรอบช่างเงียบสงัดนักในชั่วขณะนี้
และความมืดก็ยังคงปกคลุมอยู่

          ใครกันผู้ที่ลงมือสังหารบุรุษปริศนา มัจจุราชที่ดูดกลืนชีวิตและวิญญาณของคนผู้นี้ไป ร่างของบุรุษดังกล่าวที่แน่นิ่งไม่ไหวติงใดๆ
เขาเป็นใคร และทำไมเขาถึงได้บุกเข้ามายังโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอสแห่งนี้ในยามวิกาล ซ้ำยังมุ่งทำร้ายเหล่าเมจ

          หลังเกิดเหตุดัวกล่าวได้ชั่วครู่ หนุ่มหอโครนัสก็กล่าวแก่เหล่าเมจหอไดอาน่าเป็นเชิงว่า ครั้งนี้พวกเขาอาจจะผิดพลาด
แต่ครั้งต่อไปโครนัสและไดอาน่าจะได้เห็นดีกัน และแม้ว่าอัลกอลจะอาสาช่วยคุ้มกันจนกว่าจะถึงที่พักของเขา เขาก็ปฏิเสธ
ความปรารถนาดีของอัลกอล ด้วยคำพูดที่ว่า

          “ กะอีแค่อุ้มผู้หญิงคนเดียว ข้าคงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกถึงขนาดต้องให้ฝ่ายตรงข้ามมาช่วยคุ้มกัน เจ้าดูแลกลุ่มของเจ้าให้ดีเถอะ”

          เมื่อหนุ่มโครนัสได้จากไปแล้ว แต่ปริศนายังคงอยู่ ร่างไร้วิญญาณนั้นยังคงตอกย้ำว่า พวกเขายังมีเรื่องราวที่ต้องมานั่งขบคิด
พวกเขาเพิ่งเฉียดตาย หากตายก็ตายอย่างไม่รู้สาเหตุการตายด้วยซ้ำ และตอนนี้ ณ ที่แห่งนี้ไม่มีคำว่าปลอดภัยอีกต่อไป เพราะฆาตกร
ก็ยังคงลอยนวลอยู่ เผลอๆ ก็ยังหลบซ่อนอยู่ในแถบนี้

          หลังจากคนสองคนจากหอโครนัสได้ปลีกตัวไปแล้ว เฮเรียสจึงได้ทำการจุดพลุส่งสัญญาณ เพื่อแจ้งเหตุเหล่านี้แก่เหล่าคณาจารย์
ทั้งหลาย

          เสียพลุดังกล่าวดังขึ้นพร้อมๆ กับที่คนของหอโครนัสทั้งสองกลับมาถึงเต็นท์ที่พักของฝ่ายหอโครนัส ที่ซึ่งโจฮันกำลังรอคอย
การกลับมาอยู่นั้น แต่เมื่อโจฮันเห็นสภาพเพื่อนทั้งสองแล้ว ยิ่งทำให้รู้ถึงการปะทะที่รุนแรง และฟังคำบอกเล่าจากปากของเพื่อนสนิททุกๆ
รายละเอียดของเหตุการณ์

          ส่วนฝ่ายคณาจารย์แมจิกที่เพิ่งเปลี่ยนเวรสังเกตการณ์นั้น เมื่อเห็นพลุที่ส่องสว่างเหนือชั้นฟ้า ก็รีบกุลีกุจอเข้าไปแจ้งเหตุในทันใด
          
          “หอไดอาน่ายิงพลุครับท่านมหาเวทย์ คงจะจบศึกแล้ว....”

          แมจิกท่านหนึ่งกล่าวรายงาน ท่ามกลางสายตาจดจ้อง มันเป็นการรายงานที่ทำลายความเงียบยามราตรีไปเสียสิ้น

          “ยังหรอก ชั่วครู่ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง”

          ท่านมหาเวทย์กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเร่งรีบเพื่อไปยังจุดเกิดเหตุ

          “เรียกหน่วยพยาบาลด้วย!   พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้วหรือครับ ท่านอาจารย์”

          แมจิกเอนเดเมี่ยนกล่าวสั่งการกับเจ้าหน้าที่ แล้วหันมาสนทนากับท่านมหาเวทย์ที่แสดงสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก

          “มันรู้จักหาจังหวะดีแท้ ช่วงการแข่งขันระหว่างหอ หากเกิดการตาย ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าเป็นฝีมือของพวกมัน และการป้องกัน
อยู่ในระดับที่ต่ำถึงขีดสุด เหตุว่าเราไม่สามารถปกป้องเด็กๆ ได้ ในช่วงที่กำลังทำการแข่งขัน ได้แต่หวังว่าจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
หรือตาย ”

          เหตุนี้เองคือสิ่งที่ทำให้ท่านมหาเวทย์เป็นกังวล ท่านคงคาดการณ์แล้วว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่ขณะการแข่งขัน
ศึกระหว่างหอ แต่จะล้มเลิกประเพณีที่ปฏิบัติมายาวนานนี้ไปเสียก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นการแข่งขันที่เหล่าเมจ หลายๆ คนรอคอย
หน้าที่ของผู้เป็นมหาเวทย์ที่ต้องปกครองและดูแลโรงเรียนแห่งนี้จะละเลยเสียมิได้ แต่หน้าที่ของผู้เป็นอาจารย์ การปกป้องศิษย์
อันเปรียบเสมือนลูกหลานก็ไม่อาจเพิกเฉยได้เช่นกัน


---จบตอนที่ 11---
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน และก็ต้องขอโทษสำหรับการลงที่แสนจะล่าช้า
ติ ชม แนะนำ ได้นะคะ
จากใจ ผู้เขียน  ยิ้มเท่ห์






2 Fame / [unclekai-1 ] [Watchmaker ]

บันทึกการเข้า

.:: !- GModerator -! ::.

?


ชาย Switzerland
 1042
 328
 2588


เว็บไซต์
Windows XP Opera 9.80
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2554, 01:11:08 PM »

....ว่างมะไรก็เอามาลงต่อนะครับ...รอติดตามอยู่...







บันทึกการเข้า

เจ๋ง เจ๋ง 8)คุณ..พร้อมจะก้าวไปกับเรา..www.mayonnaise-club.com แล้วหรือยัง ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.13 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Sitemap Valid XHTML 1.0! Valid CSS!


Google visited last this page พฤศจิกายน 11, 2567, 03:50:50 PM