หน้าแรก    • ธนาคารกลาง  • ห้องแช็ท  • วิทยุออนไลน์  • ช่วยเหลือ  • ค้นหา  • เข้าสู่ระบบ  • สมัครสมาชิก  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ 11 ศึกรอบที่สอง (ตอนต้น)  (อ่าน 7180 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ว่างเปล่า...

ทร่ามกลางหมู่ดาวมากมาย มีเพียงดาวดวงเดียวที่ส่องสว่าง นั้นก็คือ...เธอ

ฉันอยากไปยังที่แห่งหนึ่ง

หญิง Thailand
 184
 101
 100



Windows 7/Server 2008 R2 MS Internet Explorer 8.0
« เมื่อ: สิงหาคม 30, 2554, 02:47:53 PM »

ตอนที่ 11 ศึกรอบที่สอง (ตอนต้น)

          “เจ็บใจโว้ย...”
   
          เสียงสบถจากปากของบุรุษเผ่าดาร์คเอลฟ์ ซึ่งเขากำลังทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างแรง ด้วยความโมโหโทโส

          “หุบปากไปเลย ถ้าจะมาโวยวายอะไรที่มันไม่สร้างสรรค์ มันดึกแล้ว อะไรแล้ว หรือเจ้าอยากให้คนในหอของเรามารับรู้
ความอัปยศในวันนี้ ก็เชิญร้องแร่แห่นางแมวของเจ้าต่อไป”

          อีกเสียงเอ่ยปรามบุรุษดังกล่าว ซึ่งมันเป็นเสียงแหลมๆ ของอิสตรี ดูเหมือนเธอจะเบื่อหน่ายเต็มทน

          “แปลก...”

          จู่ๆ บุรุษอีกคนก็เอ่ยขึ้น ทำให้อีกสองคนก่อนหน้าหันมามองด้วยความสงสัย และต้องการคำตอบ

          “พวกเจ้าว่ามันไม่แปลกหรือไง อย่างน้อยๆ ที่พวกเราทำนี่ก็ น่าจะโดนเทศนาจนหูยาน ตามด้วยบันทึกเข้าบัญชีดำ และ
ตบท้ายด้วยการอนุมัติให้พักการเรียน แต่กลับ....ยังได้มานั่งอยู่ที่นี่แบบนี้ ”

          บุรุษที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นร่ายยาวถึงวีรกรรมที่แก๊งของตนน่าจะโดนอะไรที่มันมากกว่านี้ เมื่อนึกถึงหลักความเป็นจริง

           “แล้วมันไม่ดีหรือไงหละ พูดมากจริงเชียว หรืออยากโดน....ฮื๊ม....ไปๆ ไสหัวกันไปนอนได้แล้ว”

          ฝ่ายหญิงพูดซะเล่นเอาไม่มีใครกล้าเถียงตอบ เลยต่างทำท่าจะขึ้นไปนอนกัน

          “เออ พรุ่งนี้ก็มีอะไรสนุกๆ ให้เล่นกันแล้ว อย่าได้แคร์”

          นั่นสิ พรุ่งนี้มันก็เป็นวันที่ศึกรอบที่สองจะเปิดฉากแล้ว ค่ำคืนนี้คงจะมีใครหลายๆ คนที่คิดต่างกันออกไป รวมไปถึง
ความรู้สึกของเจ้าตัวก็ด้วย บางคนอาจจะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ บางคนอาจจะกำลังวางแผนการณ์กับคู่หู หรือกับพวกพ้อง
อย่างแยบยล บางคนก็อาจจะหลับปุ๋ยไปแล้วด้วยความเหนื่อยล้าจากการฝึกหนักมากว่า 6 วันเต็ม

          “ทำเป็นพูดดีไป เจ้าน่ะก็ระวังก้นเจ้าให้ดีเถอะ คราวนี้ก็อย่าให้ก้นกระแทกพื้นก็แล้วกัน ดูแลมันให้ดีๆ หน่อยนะ เดี๋ยว
จะนั่งไม่ได้เอา คิกคิก”

          ฝ่ายสตรีที่มีเพียงหนึ่งในกลุ่มนี้กล่าวถากถางบุรุษปากดี ซึ่งเขาก็คือคนๆ เดียวกับที่โดนเล่นงานก้นจ้ำเบ้ากับพื้น เมื่อ
คราวศึกระหว่างหอรอบแรก ทำให้ฝ่ายบุรุษถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวด ด้วยว่าเพิ่งหายดีไม่นานแท้ๆ อย่ามาแช่งกันจะได้ไหม

          “มัวแต่มาแควะข้าอยู่นั่นหละ นู่น...หันไปดูยาหยียอดรักของเจ้า เหม่อเพ้อไปหาสาวไหนแล้วมั้ง”

          พอตาก้นจ้ำเบ้ากล่าวจบปั๊บ ฝ่ายสตรีถึงกับหันควับไปมองทันควัน ปลายทางที่สายตาของเธอทอดไปนั้น ไปหยุดอยู่ที่
บุรุษที่กำลังยืนพิงกระจกมองดวงจันทร์กลมโต ที่ลอยคว้างท่ามกลางหมู่ดาวนับร้อยนับพัน เขาคงเหม่อละเมอไปไกลเกินกว่า
เสียงอันใดจะไปปลุกให้ตื่นจากภวังค์ได้

          “ข้าว่า เขาดูแปลกๆ นะ ปกติก็พูดน้อยอยู่แล้ว แต่ก็ยังพูดบ้าง แต่นี่ตั้งแต่กลับมา ไม่พูดอะไรสักคำ หนำซ้ำไม่โมโหด้วย”

          ที่บุรุษคนนี้พูดมานั้น มันเป็นเพราะว่าเรื่องในวันนี้มันน่าจะทำให้คนๆ นี้ถึงขั้นระเบิดทุกอย่างในห้องนี้ให้เป็นจุล แต่กลับนิ่งเฉย
เหมือนกับว่าวันนี้ก็แค่วันว่างๆ ที่ผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด แต่ที่มันผิดถนัดก็คือการที่คนๆ นั้นมองดวงจันทร์ด้วยสายตาที่มิคาดคิด
ว่าจะได้เห็นเขาเป็นแบบนี้

          ถ้าจะให้เปรียบก็คือ เหมือนแววตาของราชสีห์เวลาที่อิ่มจากการกินเหยื่อ แล้วเมื่อเห็นกวางอีกตัวก็ไม่อยากจะไล่กรวดมันอีกต่อไป
ทำแค่มองมันเฉยๆ ว่าจะไปไหนก็ไปเหอะ อิ่มแล้ว...ขอนอนพักพุงดีกว่า ในยามที่แสงจันทร์ส่องแววตาของเขา มีประกายที่ไม่ส่อแวว
ความเย็นชาเช่นที่แล้วมา มันกลับดูเหมือนน้ำแข็งที่กำลังละลาย เพราะต้องแสงแดงเมื่อคราฤดูใบไม้ผลิมาเยือน

          “โจฮัน”

          อิสตรีรู้สึกไม่สู้ดี กับอากัปกิริยาของบุรุษที่เอาไหล่พิงอยู่ที่กระจก ด้วยสายตาของเขามิได้มองมาที่หล่อน แต่เป็นดวงจันทร์ที่กำลัง
ส่องแสงสีนวลลออนั่น ใช่ว่าเธอจะหึงหวงดวงจันทร์ไม่ แต่เพราะคนตรงหน้าผิดแผกแปลกไป ไม่เหมือนคนๆ เดิม

          “โจฮัน!!...”

          คราวนี้เธอเดินไปใกล้ๆ ตัวเขา แล้วเรียกอีกครั้ง และมันก็ได้ผล เมื่อเขาหันกลับมาที่เธอจนได้

          “...มีอะไรก็ว่ามาสิ” บุรุษพิงกระจกกล่าวตอบสั้นเฉกเช่นเคยทำทุกครั้งไป

          “เปล่า เห็นเธอดูแปลกๆ ไป คิดอะไรอยู่”

          ฝ่ายสตรีถามด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง ตรงกันข้ามฝ่ายบุรุษทำหน้านิ่งเฉย ดวงตาที่ฉายนั้น กลับมีเพียงแต่ความเย็นชา และเมินเฉย
หามีแววแห่งความอาทรไม่ ต่างจากเมื่อครู่ เหมือนกับว่าคนผู้นี้ได้กลับสู่โหมดเดิมของตนเองแล้ว แต่มันจะเหมือนเดิมจริงหรือ

          “มันไม่สำคัญหรอก” เขาตอบกลับสั้นเช่นเคย

          เท่านั้นแหละ ฝ่ายหญิงก็สวนทันควัน

          “สำคัญสิ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” ฝ่ายหญิงไม่ยอมลดละ ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้

          “ไม่ใช่เรื่อง” พูดเสร็จก็หันไปมองพระจันทร์เช่นเดิม

          แต่ฝ่ายหญิงก็ยังยืนจ้องหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ ยังไงวันนี้ก็ต้องรู้ให้ได้ว่า บุรุษตรงหน้าเป็นอะไรกันแน่ เธอเริ่มหงุดหงิดกับ
การกระทำของอีกฝ่าย แต่ก็ทำได้เพียงแค่จ้องหน้าเค้นเอาความจริงจากปากของฝ่ายบุรุษตรงหน้าเท่านั้น

          สุดท้ายก็ลงเอยแบบเดิม คือพวกที่เหลือต้องหาช่องโหว่จากการครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง เพื่อเอามาตีแผ่กันจะๆ

          “หรือว่า...โจฮันจะถูกใจ ยายนั่นขึ้นมา...”

          เริ่มออกความคิดเห็นด้วยบุรุษคนแรก เพื่อการตามล่าหาความจริง

          “ยายนั่น...ยายกลุ่มเฮอเมสนั่นน่ะนะ เจ้านี่มันหัวกลวงจริงๆ เลิกคิดไปได้เลย”

          เริ่มถกเถียงกันทันควัน หลังจากคนแรกแสดงความคิดที่งี่เง่าออกมา

          “ข้าว่าต้องเป็นเพราะ ท่านมหาเวทย์แน่ๆ อายุปูนนั้นแล้ว ยังหล่ออย่างกะพี่โดมปกรณ์ลัม โจฮันเลยรับไม่ได้”

          บุรุษคนเดิม ที่ออกความคิดในตอนแรก ยังคงให้ความคิดเห็นอีก พร้อมกับสีหน้าที่จริงจัง แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่ได้ฟัง
ความคิดเห็นที่สองนี้ล่ะ

          “ไปไกลๆ เลย ก่อนที่เบื้องล่างของข้าจะประทับจูบที่แก้มก้นของเอ็ง คิดมาได้นะ ให้หล่อแค่ไหนก็ไม่กระเทือนลูกตาข้า
หรือโจฮันหรอกโว้ย”

          แล้วทุกอย่างก็กลับมาเงียบงันอีกครั้ง ต่างคนต่างครุ่นคิดอย่างหนัก มันเป็นเพราะอะไรกันแน่เนี่ย มันเพราะอะไรกันหนอ
คิดแล้วคิดอีก คิดจนปวดแกนสมองแล้วนะเฟ้ย

          “คงจะยาก”

          เสียงๆ หนึ่งดังแทรกความเงียบในระหว่างที่ คนในห้องโถงนั้นคิดกันอุดตะรุด ซึ่งทุกคนหันมาทางต้นตอของเสียงทันที
โดยหยุดการใช้สมองอยู่แค่นั้น

          “เจ้าว่าอะไรนะ โจฮัน... ”

          บุรุษหนึ่งในผู้ที่คิดจนหัวจะแตก กล่าวด้วยความไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่า สิ่งที่บุรุษผู้พิงกับกระจกพูดเมื่อกี้นั้น หมายความว่าอย่างไร

          “ต่อให้พวกเจ้าคิดกันทั้งคืน ก็เสียเวลาเปล่า”

          ทุกคนในที่นั้นยิ่งงงกับการกระทำของโจฮันเข้าไปอีก ก็แล้วมันอะไรกันเล่า จะบอกเสียหน่อยก็หามีไม่ ลงเอยอีแบบนี้ใครมันจะ
ไปหลับตาลงได้

          โจฮันเหลือบมองสีหน้าแต่ละคนแล้วให้หน่ายจิต จึงทำเพียงแค่แอบยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินหนีขึ้นไปที่ห้องนอน ก่อนที่จะถูก
ซักไซ้ไปมากกว่านี้

          ภายในกลุ่มที่บัดนี้เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้นั้น สตรีนางหนึ่งที่รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเปลี่ยนบุรุษผู้ที่เดินจากไป
เมื่อครู่นี้ ไปอย่างสิ้นเชิง และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะพรากเขาไปจากเธอก็เป็นได้
 
          ‘โจฮัน ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลย อะไรที่ทำให้เจ้าถึงกับยิ้มออกมาแบบนั้น ทั้งๆ ที่ ข้ายังไม่เคยเห็นมันเลยด้วยซ้ำไป และเชื่อได้ว่า
คงจะไม่มีใครเคยเห็นอย่างแน่นอน’

          สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้อะไรไปมากกว่านั้น ค่ำคืนนั้นจึงจบลงด้วยการแยกย้ายกันเข้านอน มันเป็นคืนที่ดูเหมือนจะยาวนาน
ความมืดรายล้อมทุกสิ่ง นอกจากแสงจากโคมไฟตามที่ต่างๆ

          ‘แม้ราตรีนี้จะมืดมนเพียงใด หากนภาลัยยังไม่ไร้จันทรา ดารายังพร่างพราย จงได้อย่าหวาดหวั่น เพราะแสงจันทร์จะสาดส่อง
ลำแสงสีเหลืองนวลชวนไหร่หลง รุ่งเช้าจะมาเยือนด้วยอาทิตย์อัสดง ยืนยงจนกว่าหวนคืนสู่ราตรี เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยไป ตราบเท่าที่ฤทัย
จันทราแลอาทิตย์ยังมั่นคง’           

          เช้าวันใหม่ที่สดใส ธรรมชาติต่างเป็นใจ ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ถูกแต้มไปด้วยสีขาวของปุยเมฆ มองดูแล้วให้ความรู้สึกที่ปลอดโปร่ง
นับว่าเป็นม่านเปิดฉากที่สวยงามเกินกว่าจะละสายตาไปได้

          “ฤกษ์งามยามดีใช่ไหม...”

          เสียงทักทายยามเช้า ที่เอ่ยทักต่อผู้ที่ยืนชื่นชมทิวทัศน์อยู่ที่ระเบียง

          แต่ผู้ที่ยืนอยู่ที่ระเบียงนั้นมิได้หันมาตามเสียงทักแต่ประการใด เขายังคงยืนเช่นนั้นต่อไป ไม่ขยับแม้เพียงนิด ด้วยว่ากำลัง
เพลิดเพลินไปกับสายลม และบรรยากาศที่รื่นรมย์เหล่านั้น

          “เป็นงั้นไป...ทักตอบกันหน่อยเป็นไร เจ้าทำอย่างกับว่าจะไม่ได้มองทิวทัศน์แบบนั้นอีกงั้นแหละ”

          ผู้ที่เอ่ยทักรู้สึกว่าตนถูกเมินเสียแล้ว เลยพูดแควะเสียหน่อย

           “ท้องฟ้ามักจะสดใส ก่อนที่พายุลูกใหญ่จะโหมกระหน่ำ...เจ้าเคยได้ยินคำนี้บ้างหรือไม่ เฮเรียส”

          ผู้ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงตอบกลับในที่สุด

          “....อืม....” เฮเรียสตอบสั้นๆ ก่อนจะคิดต่อท้าย 

          ‘แน่นอน ข้าเคยสัมผัสถึงคำๆ นั้น...เมื่อนานมาแล้ว’

          ระหว่างที่เฮเรียสกำลังตกอยู่ในห้วงลึกของความทรงจำ เขาได้หารู้ไม่ว่าผู้ที่เคยแหงนมองท้องฟ้าอยู่ตรงระเบียง บัดนี้หันมา
จับจ้องอยู่ที่ตัวเขา

          แต่เพียงไม่นานเฮเรียสก็หลุดจากภวังค์แห่งความทรงจำ กลับสู่โลกปัจจุบัน เขาหันหน้าไปทางระเบียงทันที และก็ได้เห็น
สายตาของผู้ยืนอยู่ที่ระเบียง แน่นอนว่าในห้องนี้ไม่มีใคร นอกจากพวกเขาสองคนที่เป็นผู้อาศัยอยู่ในห้องนี้

          คนผู้นั้น คนที่ยืนอยู่ที่ระเบียง ต้องมองเขาอยู่เป็นแน่แท้ แต่เมื่อทันทีที่เฮเรียสรู้ตัว คนผู้นั้นก็เมินหน้าไปมองทางอื่น แล้วสุดท้าย
ก็หันหน้ากลับไปมองทิวทัศน์เช่นเคย เฮเรียสจึงได้แต่มองแล้วฉงนอยู่ในใจ

          ปัง! ปัง! ปัง! แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางประตูห้อง เฮเรียสจึงละสายตาจากคนผู้นั้น ก่อนจะลุกจากโซฟา เพื่อเดินไปดูที่ประตู
ว่ามีใครมาทำมิดีมิร้ายประตูห้องพักเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า

          ทันทีที่เฮเรียสเปิดประตู ก็ได้เห็นใบหน้าบอกบุญไม่รับของผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้อง มันก็ไม่พ้นใคร มิตรสหายที่ชื่อว่าเซอเพน จอมป่วน
ที่ก่อกวนได้ทุกสถานการณ์

          “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ ข้าเคาะจนมือจะหงิกอยู่แล้ว”

          เซอเพนมองตาขวางเหมือนจะจับผิดคนทั้งสองอย่างเอาเป็นเอาตาย

          แน่นอนสิ ข้าต้องโมโห เพราะข้าเคาะประตูแบบผู้ดีมีมารยาทก็แล้ว เคาะแบบเป็นจังหวะชัดชัดช่าก็แล้ว เคาะแบบแซมบ้าก็แล้ว
แม้แต่เคาะแบบพวกป๊งเหน่งวัดเส้าหลินข้าก็เคาะไปแล้ว สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการเคาะแบบนางร้ายในละครเรื่องใดสักเรื่องหนึ่งที่เขา
ฉายกันในอีกโลกหนึ่ง รู้สึกจะเรียกกว่าอะไรน้า....ช่างมันเหอะไอ้ทรงสี่เหลี่ยมๆ ที่มีฝาแก้วอยู่ด้านหน้านั่นหนะ

          “Hey! Boys” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นทำลายบรรยากาศมาขุ ในระหว่างที่สามเกลอกำลังนั่งรากงอกอยู่ที่หอประชุม

          แต่ก็ยังไม่แคล้ว เซอเพนหันไปยิงด้วยลำแสงพิฆาตผ่านทางสายตา แต่ดูเหมือนผู้ที่ส่งเสียงทักนั้นหาได้สะทกสะท้านไม่
เดินเข้ามาร่วมวงอย่างหน้าตาเฉย

          ผิดกับคนที่เหลือ ที่ตามมาด้วย เจอลำแสงพิฆาตของเซอเพนไปแบบเต็มๆ พาลคิดไปพร้อมๆ กันว่า ‘ใครไปเหยียบหางมัน
แต่เช้าตรู่หละเนี่ย ถึงได้ทำตาขวางซะขนาดนั้น’

          “พร้อมกันหรือยังล่ะ พวกเจ้า” อัลกอลพูดตัดบททันที เพื่อไม่ให้ต่อความยาวสาวความยืด

          “พร้อมแล้วค่ะ”

          ทุกคนต่างหันไปหันมา เพื่อหาต้นเสียง แล้วก็พบว่าเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อกี้นี้ ที่แท้ก็เป็นเสียงของเพื่อนตัวน้อยนี่เอง

          “ตะ....แต่ว่าดูเหมือนว่า คุณเซอเพนจะ...เอ่อ...ซีรีสว่า...พวกเราพาคุณเซอเพนไปหาหมอดีกว่าไหมค่ะ”

          ทุกคนต่างมองซีรีส สลับกับการมองเซอเพน มันทำให้พวกเขาเห็นพ้องไปกับคำพูดของซีรีส เริ่มจากฟรานซิส ดาเนอี
แม้แต่อัลกอล ต่างก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย

          “เซอเพน เจ้าไปห้องพยาบาลหน่อยดีไหม ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะให้หมอช่วยเอ่อ...สวนทางถ่ายเท อาการคงจะดีขึ้น”

          เซอเพนที่ทำตาขวาง ค่อยๆ ทำหน้างง แล้วค่อยๆ ครุ่นคิดอย่างพิจารณา คำของฟรานซิส ที่พูดว่า ‘สวนทางถ่ายเท’

          “ขะ....ข้าไม่ได้เป็นริดซี่นะเฟ้ย!!.....”

          เซอเพนรีบแย้งทันควัน ด้วยสีหน้าแดงอย่างอายๆ ปนขุ่นเคือง แต่ก็ยังทำตาขวางอยู่

          “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า เป็นริดสีดวงน่ะ มันทรมานยิ่งนัก รีบไปรักษาเสีย เดี๋ยวก็หาย เชื่อข้าสิ”

          อัลกอลพูดพร้อมๆ กับตบบ่าอย่างคนเข้าใจ พร้อมๆ กับการพยักหน้าอย่างเห็นใจของซีรีส ฟรานซิส และดาเนอี

          .... ‘ไปกันใหญ่แล้ว ตูจะบ้า’

          สุดท้ายเรื่องนี้ก็ลงเอยด้วยการฝืนไม่ให้หัวเราะของคนอีกสองคน ซึ่งก็คือผู้ที่เป็นสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้เซอเพน
ตาขวางเยี่ยงนี้ เฮเรียส อาร์ดิสจะไม่ช่วยแก้ตัวแทนเซอเพนหน่อยเร้อ...




---------------------------จบตอนที่ 11 ตอนต้น---------------------------

ไม่ได้เอามาลงนานเลย ขอโทษด้วยค่ะ
โหมงานอยู่ง่า T-T
ใครที่รออยู่กะขอบคุณมากเลยนะคะ
จะพยายามเอามาลงให้อ่านค่ะ อดใจรอนิดน้าาา

---------------------------จากใจผู้เขียน---------------------------






1 Fame / [Watchmaker ]

บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.13 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC | Sitemap Valid XHTML 1.0! Valid CSS!


Google visited last this page พฤศจิกายน 10, 2567, 11:12:57 PM