:: Mayonnaise-Club V.2 :: แล้วเราจะก้าวไปด้วยกัน

.:: Relax Club ::. => Lunalight Of Fiarapella => ข้อความที่เริ่มโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ พฤศจิกายน 03, 2554, 09:59:03 AM



หัวข้อ: ตอนที่ 12 ผู้มาเยือน (ตอนกลาง)
เริ่มหัวข้อโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ พฤศจิกายน 03, 2554, 09:59:03 AM
ตอนที่ 12 ผู้มาเยือน (ตอนกลาง)


          ณ หอโครนัส ห้องพักของชายนามว่าโจฮัน

          ห้องพักของหอโครนัสนั้นสวยงามไม่แพ้กัน แม้ว่าการจัดเตียงจะไม่แตกต่างกันก็จริง แต่เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ และสีสันจะออกไปทาง
โทนน้ำตาล หรือลายไม้ ตราประจำหอโครนัสก็คือนาฬิกาทรายทั้งสองที่ยันลูกโลกไว้

          “ข้าถามอะไรเจ้าสักอย่างได้ไหมโจฮัน”

          คาโรเพื่อนร่วมห้องกล่าวออกมาหลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนว่ายังไงก็ต้องถาม เพราะมันคับอกเหลือเกิน กับข้อสงสัยในตัวเพื่อนที่ชัก
จะยังไงยังไงเข้าไปทุกที

          “ก็ว่ามาสิ...”  

          โจฮันนอนเอนกายบนโซฟานอนที่ตั้งอยู่บริเวณระเบียงด้านนอก หันหน้าออกไปรับลมจากป่าเขาลำเนาไพร

          “เจ้าสนใจ คนของหอไดอาน่าใช่หรือไม่”

          สิ้นคำถามโจฮันถึงกับหันมามองหน้าคาโรอย่างกับจะถามว่ารู้แล้วอย่างนั้นหรือ คาโรจ้องตอบด้วยสายตาที่รอคอยคำตอบอย่างจริงจัง

          “เมื่อแรก ข้ามองลึกลงไปในแววตาคู่นั้น” โจฮันพร่ำพูดถึงความรู้สึกของตน

          โจฮันจะเปิดเผยความรู้สึกบ้างในบางครั้ง แต่ก็ต้องคาดคั้นด้วยการจับให้ได้ไล่ให้ทันแบบนี้เสมอ คาโรรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรให้เพื่อน
ของเขาคายความคิดของตัวเองออกมาเสีย

          “แล้วเจ้าเห็นอะไรอย่างนั้นเหรอ” คาโรถามต่อไปอีกเพื่อให้โจฮันเผยต่อ

          “...ความมุ่งมั่น.....ความเศร้า.....แล้วเจ้านั่นก็มา...”     (เจ้านั่นที่ว่าคือ เฮเรียส เหตุการณ์ในตอนที่ 10)

          โจฮันรู้สึกถึงความรู้สึกเหล่านั้น ก่อนจะค่อยๆ บรรยายคำเหล่านั้นออกมาให้เพื่อนอย่างคาโรฟัง โจฮันอาจจะมีความรู้สึกคล้ายๆ
กับอาร์ดิสก็เป็นได้ เขาจึงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ในแววตาของอาร์ดิส

          “ข้าพอจะเข้าใจ แต่อย่าเผลอไผลไปกว่านี้เลยจะดีกว่า เพราะคนที่เจ้ากำลังสนใจนั้น...ผู้ชายนะโจฮัน เจ้าคงไม่....ขืนเป็นงั้นมีหวัง...
ข้าวของหอเราได้พังเป็นแน่”

          โจฮันนึกตามคำพูดของคาโรแล้วก็ถอนหายใจออกมา เพราะเขารู้ดีอยู่ว่า คนที่จะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นคนแรกก็คือ ซิซีลี

          สำหรับโจฮันแล้วซิซีลีเป็นแค่เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กเท่านั้น ไม่มีทางเป็นได้มากกว่านั้น เขาไม่เคยคิดเกินเลยอะไรแบบนั้นมาตั้งแต่
ไหนแต่ไรมาแล้ว และคนที่รู้ดียิ่งกว่าใครก็คือคาโร

          โจฮันรู้ความรู้สึกของคาโรเช่นกัน ทั้งสองจึงเปิดใจคุยกันแบบลูกผู้ชายมาโดยตลอด ไม่มีการปิดบังใดๆ แต่ดูเหมือนซิซีลีจะไม่เคย
รับรู้อะไรแบบนั้นเลยสักนิด ซึ่งตัวโจฮันเองก็หวังให้คาโรบอกเธอไปตรงๆ เหมือนกัน แต่ติดที่ซิซีลีดันมารักโจฮัน ส่วนคาโรผู้เพื่อนก็ดันรัก
ซิซีลีผู้ที่มารักตนเอง จะบอกความรู้สึกของคาโรให้ซิซีลีฟังก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง แต่จะบอกปัดซิซีลีไปตรงๆ ก็ไม่ได้ เพราะ
ไม่อยากให้บาดหมางกัน โจฮันจึงแซ้งแกล้งทำเป็นไม่รู้ความรู้สึกของซิซีลีมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

          ตัวโจฮันเองก็ไม่เคยมีใจให้หญิงคนใด ทำให้ไม่อาจมีข้ออ้างล้มเลิกความตั้งใจของซิซีลีได้ คาโรเองก็แอบซ่อนความรู้สึกเอาไว้
ในเมื่อรู้ว่าคนที่เขารักไม่มีใจให้เลยแม้แต่น้อย สู้เก็บความรู้สึกที่เขามีเอาไว้แบบนั้นแล้วอยู่ด้วยกันอย่างฉันเพื่อนแบบนี้ต่อไปมันคงจะดีกว่า
เพราะการได้อยู่ข้างๆ และได้ดูแลเธอไปในแบบนี้ก็ยังดีกว่าการถูกตัดเยื่อตัดใย เพราะยังไงความรักก็ไม่อาจสมหวังได้ มันถูกบอกปฏิเสธ
เป็นพันๆ ครั้งตั้งแต่ยังไม่ได้เอ่ยปากถาม

          ณ ที่แห่งหนึ่งท่ามกลางความมืดยามรัตติกาลมาเยือน

          “ฝีมือพวกเจ้า ใช่หรือไม่ ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้” บุรุษคนหนึ่งกล่าวแก่คนชุดคลุม

          “เราได้รับคำสั่งให้มาสังเกตการณ์นายน้อยเท่านั้นขอรับ” คนชุดคลุมกล่าวตอบ

          “ข้ารู้ เจ้ากำลังโกหกข้าอยู่” บุรุษยังคงคาดคั้นให้คนชุดคลุมสารภาพ

          “ข้าน้อยรู้ว่า คงไม่อาจจะปิดบั้งนายน้อยได้”

          สุดท้าย คนชุดคลุมก็รับสารภาพอย่างรู้อยู่แก่ใจว่า ให้พยายามปิดยังไงก็คงไร้ความหมาย ในเมื่อนายน้อยของเขาเป็นผู้ชาญฉลาด
เกินกว่าจะมองข้ามจุดเล็กจุดน้อยไปเสีย

          “รู้ก็ดีแล้ว...นี่ก็รวมอยู่ในคำสั่งด้วยอย่างนั้นหรือ”

          บุรุษถามเพื่อย้ำความแน่ใจ ว่ามันเกิดจากคำสั่งหรือว่าเป็นการกระทำไปนอกเหนือจากคำสั่งกันแน่ เพราะการกระทำดังกล่าวอาจ
ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งสามารถคาดเดาคนบงการได้ไม่ยาก และยังเป็นวงแคบอีกด้วย อาจทำให้
แผนการต่างๆ เป็นอันต้องล้มไม่เป็นท่า คนชุดคลุมนั่งคุกเข่าในท่าชันเข่าข้างหนึ่งและก้มหน้าไม่เอ่ยตอบอะไร เพียงแค่ผงกหัวเล็กน้อย
เป็นคำตอบเท่านั้น

          “แค่คนฝีมือแค่นั้นจะหยั่งเชิงอะไรได้” บุรุษคนเดิมกล่าวลอยๆ ออกมา

          “นายท่านเพียงต้องการฆ่าเวลาด้วยความบันเทิงเท่านั้นขอรับ”

          คนชุดคลุมกล่าวตามที่ได้รับคำสั่งมาอีกทอดหนึ่ง เหมือนกับว่านายท่านผู้นั้นจะร่วมสนทนาด้วยในตอนนี้อย่างไรอย่างนั้น

          “บันเทิง...กับชีวิตคน อีกแล้วสินะ”

          ประโยคนี้บุรุษที่ถูกเรียกว่านายน้อยเสียงเย็นชาขึ้นมาทันที และในขณะนั้นเองเขาทั้งสองก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดิน และอาจ
จะมาทางนี้ก็เป็นได้

          “ไปซะ” บุรุษรีบสั่งการเพราะกลัวจะมีคนมาเห็นเข้า

          “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว โปรดถนอนตัวด้วย” พอคนชุดคลุมพูดจบก็หายวับไปในทันใด

          ไม่นานเจ้าของเสียงฝีเท้าก็เห็นเงาตะคุ่มตะคุ่มอยู่ในมุมมืด เพียงครู่เดียวแสงจันทร์ก็ทำให้เห็นว่าเงานั้นเป็นของใคร

          “เซอเพน!...เจ้ามาทำอะไรตรงที่มืดๆ แบบนี้"

          “อ่ะ...อ๋อ ข้าแค่รู้สึกว่าเอ่อ...เวียนหัวหนะ เลยมายืนรับลมตรงนี้ เย็นสบายดีนะ เจ้าลองมายืนดูสิ”

          เซอเพนกล่าวชักชวนผู้มาเยี่ยมเยือนอย่างไม่ได้คาดหมาย ตัวบุรุษที่เพิ่งมาทำหน้าฉงนสงสัยในตัวเซอเพนอย่างบอกได้คำเดียวว่า
เซอเพนต้องมีพิรุษอะไรสักอย่าง

          “ไม่ล่ะ ข้าว่าเจ้าอย่าตากลมจะดีกว่า ลมคืนนี้เย็น แถมมีน้ำค้าง เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบายหนักกว่าเดิมอีก เจ้าน่าจะไปนอนพักจะดีกว่านะ”

          ฝ่ายผู้มาเยือน กล่าวเป็นเชิงห่วงใยปนกับความสงสัยไปด้วย แต่ก็ห่วงมากกว่าสงสัยล่ะนะ

          “งั้นเหรอ เจ้าว่างั้นข้าก็เอาตามเจ้าว่าละกัน งั้นข้าขอตัวไปนอนก่อนนะ...โอ่ย...”

          เซอเพนว่าแล้วก็เดินขึ้นบันไดเพื่อจะเข้าหอไดอาน่า แต่ก็ไม่วายหันมามองก่อนจะเดินจากไป

          “อะไรของเจ้านะเซอเพน...ไม่สบายยังจะมายืนตากลม แย่จริงๆ”

          ฝ่ายผู้มาเยือนมองไปทางมุมมืดที่เซอเพนเคยยืนอยู่แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร แล้วก็เดินไปหาอะไรสักอย่างตามที่ตนตั้งใจ
จะมาหาตั้งแต่แรก

          ณ ห้องพักหอไดอาน่า ห้องพักของเฮเรียสและอาร์ดิส

          “เจ้านั่งคิดอะไรของเจ้าอยู่อาร์ดิส แล้วขวดที่เจ้าถือนั่นมันใส่อะไรไว้”

          เฮเรียสสงสัยอยู่นานแล้วตั้งแต่เห็นอาร์ดิสเข้ามาในห้อง พร้อมกับถือขวดเล็กๆ ที่บรรจุน้ำใสๆ บางอย่างอยู่ มันไม่ได้บรรจุเสีย
เต็มขวด แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าครึ่งขวดนั้น

          เฮเรียสสังเกตตั้งแต่ตอนอาร์ดิสเข้ามา จนกระทั่งอาร์ดิสนอนลงบนเตียง เขาเห็นสีหน้าอาร์ดิสเหมือนครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่าง
อย่างหนัก และในมือก็ถือขวดที่ว่านั่นไม่วาง สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม

          “อ๋อ เนี่ยน่ะเหรอ น้ำค้างกลางจันทร์ เจ้ารู้จักไหม” อาร์ดิสกล่าว

          “น้ำค้างกลางจันทร์...”

          เฮเรียสทวนชื่อของเหลวปริศนาดังกล่าวนั่นอย่างไม่เข้าใจ

          “ใช่ เป็นน้ำค้างที่ต้องเก็บหลังเที่ยงคืน ในคืนพระจันทร์เต็มดวง จริงสินะเจ้าอยู่แต่ในวัง เลยไม่รู้จัก”

          อาร์ดิสลืมไปว่า คนอย่างเฮเรียส เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ จะมาเก็บน้ำค้างกลางจันทร์ได้ไงกันเล่า

          “แล้วน้ำค้างกลางจันทร์ที่เจ้าว่าเนี่ย เอาไว้ทำอะไรล่ะ”

           เฮเรียสแสดงออกถึงความสนใจเจ้าของเหลวแปลกใหม่นี้

          “ถ้าเป็นหมอชาวบ้านเขาจะใช้ในการรักษาโรค ส่วนนักเดินทางเร่ร่อนจะรองมันมาเพื่อดื่มแก้กระหาย หรือแก้เจ็บคอยาม
เป็นไข้หวัดก็ได้ อืม...แต่ถ้าสาวๆ เขาจะใช้ใส่ลงไปในอาหารที่จะเอาไปให้คนที่ตัวเองรัก”

          อาร์ดิสอธิบายสรรพคุณของเจ้าน้ำค้างกลางจันทร์ที่มีสรรพคุณเกินกว่าความน้อยนิดของมัน อาจจะดูเหมือนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา
อย่างที่คิดนะจะบอกให้

          “เอาไปใส่ในอาหารเพื่ออะไรล่ะ มันทำให้รสชาดดีอย่างนั้นเหรอ” เฮเรียสถามต่ออย่างใคร่รู้

          “ฮ่ะๆ เจ้าจะบ้าเหรอ มันก็แค่น้ำค้าง มันจะไปเพิ่มรสชาติอะไรได้เล่า แต่ที่ใส่ลงไปน่ะ มันเป็นความเชื่อที่ว่า ถ้าให้คนที่เราแอบรักทาน
เขาจะรับรักเราตอบตะหากล่ะ”

          อาร์ดิสขำกับความใสซื่อของเฮเรียส แต่ก็อธิบายให้เขาเข้าใจจนจบ

          “อย่างนั้นเองเหรอ......อืม...แล้ว...เจ้าจะเอาไปใส่....ให้ใครทานล่ะ”

          คำถามนี้ดูจะเป็นคำถามที่เฮเรียสอยากรู้มากที่สุดในบรรดาคำถามที่ผ่านมาเลยล่ะนะ จ้องอาร์ดิสซะ ไม่ถามไปตรงๆ เลยเล่าว่า
แล้วเจ้าจะใส่ให้ข้าทานหรือเปล่า (อะกิ้ว~อุคริ อุคริ)

          “หา ! มะ...ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ ข้าไม่ได้จะเอาไปใส่ให้ใครทาน ข้าแค่คิดถึงเมื่อตอนอยู่ที่บ้านก็เลย...”

          อาร์ดิสไม่ได้กะจะไปใส่ให้ใครทานอยู่แล้ว ก็แหม...อยากจะใส่อยู่เหมือนกันอ่ะเนอะแต่เจ้าตัวดันรู้สรรพคุณแล้วนี่ ไม่น่าบอกเลย
(ใช่ไหมล่ะ) เผื่อจะได้เลิกเรียกเขาว่า หมีแพนด้าหน้าหวานสักที

          “งั้น...ถ้าข้าขอแบ่งจากเจ้าบ้าง...ได้หรือเปล่า...ไหนๆ ก็ไม่ได้ให้ใครอยู่แล้วนี่”

          เฮเรียสรู้สึกอยากได้เจ้าน้ำค้างกลางจันทร์นี่ขึ้นมาบ้าง สรรพคุณเหลือหลายแบบนี้ ขอมีติดตัวบ้างก็ดี เผื่อจะเอาไปใส่อาหารคนแถวนี้มั่ง

          “ก็เอาสิ...ข้าไม่ได้งกซะหน่อย จะเอาแค่ไหนก็แบ่งไปได้เลย”

          อาร์ดิสยื่นให้ แต่ในหัวคิดแต่ว่า ไม่น่าบอกสรรพคุณเลย ไม่รู้จะเอาไปใส่ให้สาวที่ไหนกิน ชิชิ

          “แค่นี้ก็พอ ขอบใจมากนะ”

          เฮเรียสยิ้ม และกล่าวหลังจากทำการถ่ายเทแบ่งน้ำค้างกลางจันทร์มาใส่ขวดของตนเป็นที่เรียบร้อย

          ฝ่ายอาร์ดิสก็ได้แต่เก็บความรู้สึกเล็กๆ เอาไว้ ไม่น่าไปบอกสรรพคุณให้เฮเรียสฟังเลย พอให้เฮเรียสไปแล้วตนก็มากลุ้ม เอ๊ะ...
แล้วเราจะมากลุ้มทำไม เขาจะเอาไปทำอะไรก็ช่างเขาสิโธ่เอ้ย....บ้า บ้า บ้า เรานี่มันบ้าจริงๆ เลย

          เฮเรียสเห็นอาร์ดิสเอามือจับหัวแล้วก็สะบัดหัวไปมา ให้งงนัก จู่ๆ อาร์ดิสเป็นอะไร หรือว่าจะไม่พอใจที่ขอแบ่งน้ำค้างกลางจันทร์
นี่มากันนะ แต่เอามาแค่นิดเดียวเองนะ ไม่น่าไม่พอใจขนาดนั้น

          “เจ้าไม่พอใจหรือเปล่า ข้าคืนให้ก็ได้นะ น้ำค้างกลางจันทร์น่ะ” เฮเรียสกล่าว

          “หา! เปล่าๆ ข้าแค่ง่วงนอน ขะ...ข้าจะนอนและ ฝันดีละกัน”
          พอพูดจบอาร์ดิสก็รีบวางขวดน้ำค้างกลางจันทร์เอาไว้ที่ข้างหัวเตียงแล้วก็คลุมโปรงทันใด ปล่อยให้เฮเรียสทำหน้างงกับกิริยา
ดังกล่าวของเขา แต่อาร์ดิสในผ้าห่มคงจะต้องพลาดไม่ได้เห็นใบหน้ายิ้มพิมพ์ใจของเฮเรียสในตอนนี้ ขณะที่มองดูขวดแก้วที่บรรจุ
น้ำค้างกลางจันทร์ที่ได้รับการแบ่งจากเขา


---จบตอนที่ 12 ผู้มาเยือน (ตอนกลาง)---
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
ติ ชม ให้คำแนะนำได้นะคะ