หัวข้อ: ตอนที่ 12 ผู้มาเยือน (ตอนต้น) เริ่มหัวข้อโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ พฤศจิกายน 01, 2554, 02:29:52 PM ตอนที่ 12 ผู้มาเยือน (ตอนต้น)
ศึกระหว่างหอรอบที่ 2 เป็นอันต้องหยุดชะงักไปในที่สุด อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่หอโครนัสและหอไดอาน่ากำลัง อยู่ในช่วงการแข่งขัน เหตุการณ์ทั้งหมดถูกเล่าจากปากของอัลกอลผู้เป็นประธานเมจขั้นรองหอไดอาน่า และผู้เข้าไปปะทะกับบุรุษปริศนา อย่างรองประธานเมจขั้นรองหอไดอาน่าก็เช่นกัน เนื้อหาที่ถูกเล่านั้นไม่มีการตัดตอนแต่อย่างใด และมีการกล่าวถึงสมาชิกกลุ่มหอโครนัสอีกจำนวน 2 คนด้วยที่อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ก็ ไม่ได้มีการกล่าวโทษหลุดออกมาจากปากของผู้เป็นมหาเวทย์แต่อย่างใด เมื่อการชี้แจงของอัลกอลมาถึงจุดสุดท้ายของเหตุการณ์ ท่านมหาเวทย์ก็มิได้กล่าวอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่กล่าวคำขอบอกขอบใจ และบอกให้อัลกอลกับฟรานซิสกลับไปพักผ่อนเพียงเท่านั้น ส่วนบุคคลที่เหลือที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับอัลกอลและฟรานซิสนั้น ยังคงนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก หอไดอาน่ามากนัก มันเป็นโต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีวงอายุเก่าแก่เลยทีเดียว ร่มเงาของมันแผ่ออกเป็นวงกว้าง ทำให้มุมนี้เป็นมุมที่ เหมาะสำหรับการพักพิงอย่างยิ่ง ในขณะที่เหล่าแก๊งค์ซ่าหอไดอาน่านั่งจับเจ่าอย่างคนไม่รู้จะทำอะไร เหมือนกับตัวพวกเขาเองถูกปลิดวิญญาณไปด้วยในคืนนั้น ไม่ว่าผู้ใดจะผ่านไปหรือผ่านมาบริเวณดังกล่าวก็ต้องแปลกใจ ปกติแล้วหากมีเซอเพน หรือคนของหอไดอาน่ากลุ่มนี้อยู่กันครบแก๊งค์ อย่าได้ หวังว่าจะเงียบ แต่มาวันนี้เงียบสนิทชิดเชื้อ ความไฮเปอร์ พูดปร๋อเป็นวันๆ มันเหมือนกับเหือดแห้งไปหมดแล้ว บรรยากาศในวงสนทนา ที่มิได้เอ่ยปากพูดกันแจ้วๆ เหมือนเคยนั้น เต็มไปด้วยปมปริศนาที่ไม่มีลู่ทางว่าจะไขมันออกได้เลย เหมือนว่า เส้นเลือดในกายมันตีบตัน ยากจะอธิบายอะไรต่อมิอะไรที่มันเกิดขึ้น “อะไรกัน....พวกหอไดอาน่ามานั่งรากงอกเหี่ยวแห้งอยู่ตรงนี้เองเหรอ? ” คำพูดนี้ลอยมากระทบหูคนกลุ่มหนึ่งแห่งหอไดอาน่า เพื่อหวังจะแควะผู้ที่มีสภาพเหมือนซากไม้เลื้อยที่ขาดน้ำมาหล่อเลี้ยง แต่ดูเหมือน คำพูดเหล่านั้นมันจะลอยไปกับสายลม เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกหูหมาทะลุหูแมว “แข่งช้าไปหนึ่งวัน พวกเจ้ากลัวจะแพ้หรืออย่างไร” บุรุษนามคอร์วีแดพูดทำนองแดกดันนิดๆ สะกิดหน่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมสักนิด คนเหล่านั้นยังคงนั่งนิ่งกันอยู่ เหมือนเดิมแทบไม่กระดิก “อาร๊าย อีแบบนี้ก็แย่สิ พวกข้าจะชนะไปเพื่ออะไรถ้าไม่มีพวกเจ้า เสียอารมณ์ฟ่ะ เห้อ...กลายเป็นพวกตายซากซะงั้น” บุรุษอีกคนที่ชื่อเซตัส คนหน้าคุ้นเคยที่คราวนี้ไม่ได้เดินมาชนอาร์ดิสเหมือนทุกที ก็มาร่วมเปิดประเด็นพูดผสมโรงอย่างสนุกปาก คนของหอไกอากลุ่มนี้พูดจาออกแนวจี้ต่อมประสาทคำแล้วคำเล่า แต่ฝ่ายไดอาน่าก็ไม่มีการโต้ตอบแต่ประการใด พวกเขาพูด อยู่นานจนมาถึงคำๆ นี้ “พวกเจ้านี่ มันพวกอนาถา....” มันเป็นคำพูดที่ไม่รู้ว่าออกมาจากปากของใคร แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้มีรังสีอำมหิตแผ่มาจากกลุ่มไดอาน่าแล้ว ก่อนที่จะมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้น และหันหน้ามาแสดงดวงตาที่ลุกวาวไปด้วยความโกรธ “พวกเจ้าว่างมากสินะ...ถึงได้มาพร่ามไม่หยุดแบบนี้ หรือว่าอยากจะเป็นศพอย่างไอ้หมอนั่นบ้างหา!...” เซอเพนหมดความอดทนในที่สุด จึงลุกขึ้นมาใส่อย่างไม่ยั้ง เซอเพนเป็นคนความอดทนน้อยสุดในบรรดาเหล่าเมจกลุ่มนี้ของไดอาน่า ถ้าเอาความอดทนของเซอเพนมาวัดด้วยปรอท ตอนนี้ ก็คงแตกไม่มีชิ้นดี “ก็เอาซี่ ข้าไม่เคยขัดข้องอยู่แล้วจะเป็นไอ้บ้าอย่างเจ้า หรือจะเป็นป้าแก่ก็เข้ามา...” เซตัสรับคำท้าของเซอเพนทันที แต่คำท้ายนี่แควะดาเนอีแบบเห็นๆ และเน้นเต็มปากเต็มคำ “พูดใหม่อีกทีสิ ใครป้าแก่หา...ไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” ดาเนอีก็เดือดขึ้นมาทันทีที่โสตประสาทสัมผัสกับคำว่า...‘ป้าแก่’ สงครามน้ำลายก็ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับการเข้าไปห้ามปรามของซีรีสเพื่อนตัวน้อยที่สาละวนคอยบอกให้สงบจิตสงบใจอย่าไป มีเรื่อง ความเงียบสงบเมื่อครู่ดูเหมือนจะถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง แต่มันกลับทำให้อาร์ดิสยิ้มออก และคนที่เห็นรอยยิ้มนั้นก็คือเฮเรียสผู้แรก รอยยิ้มของอาร์ดิสส่งผลให้เฮเรียสหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาแบบมาดองค์ชาย เมื่ออาร์ดิสได้ยินเสียงหัวเราะของเฮเรียส เขาจึงแก้เขินด้วยการเตะไปที่ขาของเฮเรียสทีหนึ่ง เฮเรียสสะดุ้งเจ็บจากการถูกเตะก็จริง แต่เขาก็ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น พวกเขาคงจะชินแล้วกับเสียงเอะอะโวยวาย ทะเลาะบ้าง ต่อปากต่อคำบ้าง แต่มันก็ยังดีกว่าการนั่งเงียบๆ เหมือนบรรยากาศก่อนหน้านี้เป็นไหนๆ นี่สิถึงจะสมกับเป็นพวกเขา เหตุการณ์ระหว่างอาร์ดิสและเฮเรียสไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของคนอีกคนหนึ่ง เขาคือคอร์วีแด เขาดีใจก็จริงที่กลุ่มของอาร์ดิส กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม แต่ทำไมกันนะ ภายใต้ความสุขใจนั้นกลับเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน ไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่แล้วบรรยากาศดีๆ ก็หมดลงทันที เมื่อมีผู้มาเยือนกลุ่มหนึ่งทำให้เสียงเอะอะโวยวายหายไปในอึดใจ เป็นการมาเยือนที่ไม่มีใคร เขาเชื้อเชิญ แต่ก็เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาอย่างหน้าตาเฉย “เห็นกำลังสนุกกันอยู่เลยมาร่วมวงด้วย กลายเป็นมาขัดจังหวะการจีบกันของสองหอหรอกหรือนี่” เสียงอิสตรีพูดจาล้อเลียนดังมาจากคนกลุ่มใหม่ที่สังกัดหอโครนัส “ไม่เอาน่ะ ซิซีลี อย่าทำอะไรนอกเรื่อง” ผู้ที่กล่าวห้ามปรามคือหนุ่มโครนัสที่มาพาสตรีนางนี้กลับไปเมื่อคืนวาน ส่วนสตรีนางนั้นก็คือ ซิซีลี คนนี้นี่เอง ที่บุกเต็นท์หอไดอาน่า เพียงรำพัง ทำให้แผนของหอโครนัสล่มไม่เป็นท่า การพบกันครั้งนี้ระหว่างสามหอ เป็นสิ่งที่ทางหอโครนัสไม่ได้คาดการณ์ไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหวั่นเกรงแต่อย่างใด แต่จะมีใคร รู้ทันความคิดของพวกเขา การมาเยือนโดยมิได้ถูกรับเชิญ ท้ายที่สุดแล้วพวกเขามีจุดประสงค์อันใด คงต้องดูเชิงกันต่อไป “ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลา คอร์วีแด มิราจ์ช เจ้าคือหนึ่งในผู้ใช้เวทย์ธาตุมืด ถูกต้องหรือไม่” ฟังจากการสนทนาแล้ว คนที่เป็นเป้าหมายของหอโครนัสคือ คอร์วีแด หรอกหรือนี่ “แล้วพวกเจ้าเป็นใคร อย่าคิดว่าติดตราประจำหอโครนัสแล้วใครๆ เขาจะเกรงกลัวไปเสียหมด มีธุระอะไรกับคอร์วีแดกันแน่” เซตัสออกตัวแทนคอร์วีแด เพราะสำเนียงในการซักถามแบบนี้ น้อยนักที่จะเป็นเรื่องดี ส่วนมากจะเป็นการหาเรื่องกันมากกว่า “หุบปากไป ถ้าเจ้าไม่ได้ชื่อว่า คอร์วีแด มิราจช์ อย่ามาสะเออะจะได้มะ....” “ซิซีลี!!....มือไม่พายเจ้าก็อย่าเอาเท้าราน้ำ” “โจฮัน!!...แต่ว่า...” “ไม่มีแต่...” “ข้าแค่ต้องการอยากรู้ว่า บุรุษที่ลักลอบเข้ามาเมื่อคืน เป็นพวกเดียวกับเจ้าหรือไม่ ไม่สิ...เป็นเจ้าใช่หรือไม่” คำถามจากปากโจฮันทำให้ทุกคนในที่นั้นหันไปทางคอร์วีแด เพื่อรอฟังคำตอบจากปากของคอร์วีแดว่าเขาจะตอบอย่างไร และบุรุษ ปริศนาผู้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคอร์วีแดจริงหรือไม่ แต่ถ้าเป็นจริงใครจะไปหน้าหนาตอบกันซื่อๆ ว่า...อ๋อหมอนั่นเหรอเป็นเพื่อนข้าเอง มันก็ บ้าเต็มทนแล้ว “หึ พวกเจ้าสงสัยข้าอยู่เต็มประตู แล้วยังจะมาถามข้าทำไมกันอีก จะใช่หรือไม่แล้วมันยังไง ต่อให้ใช่ เจ้าคิดว่าข้าจะบอกงั้นเหรอ และถ้าข้าบอกว่าไม่ใช่ พวกเจ้าก็สงสัยข้าอยู่ดี ข้าคงตอบเพียงแค่ว่าบุรุษคนนั้นที่เจ้าว่า ข้าไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่นิดเดียว” ที่คอร์วีแดพูดมานั้นมันเป็นเช่นนั้นจริง มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยาก ในเมื่อเขาเองเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้เวทย์ธาตุมืดในบรรดาเมจ ขั้นต้น ส่วนเมจขั้นอื่นคาดได้ว่าก็คงโดนคำถามเหล่านี้แบบเดียวกับที่คอร์วีแดโดนมาเหมือนกัน “เข้าใจแล้ว เราแค่ต้องการหาเบาะแส เท่านั้นเอง ข้าคาโร แซบบาร์ด รองประธานเมจขั้นต้นแห่งหอโครนัส และนี่โจฮัน ซานตาเฟ่นท์ ประธานเมจขั้นต้นของเรา และอีกคนซิซีลี เพียวลิค ส่วนที่เธอทำอะไรที่เสียมารยาทไปเมื่อครู่ ต้องขอโทษด้วย” ดูเหมือนว่าคาโรจะเป็นคนที่มีมารยาทดีมากที่สุดในหอโครนัสแล้ว สมกับที่เป็นถึงรองประธานเมจขั้นรอง ดูสุขุมรอบคอบกว่าผู้หญิง ที่ชื่อว่าซิซีลีเป็นร้อยเท่าพันเท่า รายนั้นมีแต่อารมณ์ล้วนๆ “ถ้าหากคำพูดของเจ้าเป็นคำปด คงจะได้ประลองฝีมือกัน” โจฮันกล่าวในขณะจดจ้องดวงตาของอีกฝ่ายโดยไม่กระพริบ “ลึกๆ ข้าก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้น” คอร์วีแดตอบกลับไปโดยไม่ละสายตาเช่นกัน เป็นการต่อสู้ด้วยคารม และสายตาคมคายที่น่าขนลุกอยู่ไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นต่างฝ่ายก็ต่างเลิกลากันไปด้วยการละสายตาพร้อมๆ กัน ฝ่ายโจฮันเมื่อสายตากวาดมาจนเห็นอาร์ดิสที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากเฮเรียสมากนัก เขาก็มองเห็นเฮเรียสอยู่เหมือนกัน และรู้จากสายข่าวว่า เฮเรียสนั้นเป็นถึงเจ้าชายแห่งมหานครเฮริโอโปรัส แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับอาร์ดิสอยู่มากโข ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอาร์ดิสแม้แต่ชื่อ ก็ยังไม่รู้ แต่อาจจะเพราะไม่รู้นี่แหละ เลยทำให้มันยิ่งน่าค้นหานัก การต่อสู้กันด้วยความไวเมื่อคราวก่อน ตอนที่พวกของโจฮันกำลังแหย่สาวหอเฮอเมสนั้น ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะเสียทีเดียว ทำให้เขาเกิด ความสนใจในตัวอาร์ดิสมาก มากเกินกว่าที่จะข่มความกระตือรือร้น และความใคร่รู้เอาไว้ได้ สายตาของโจฮันนั้นรุนแรงจนใครหลายคนรู้สึกได้ ซึ่งมันก็ไม่พ้นเรดาร์จับความผิดปกติของ เฮเรียส เซอเพน ดาเนอี คอร์วีแด แม้แต่ พวกเดียวกันอย่าง คาโร และซิซีลีก็รู้สึกได้ชัดเจน เพราะอาศัยความสนิทชิดเชื้อกันมายาวนาน จึงไม่มีพลาดอย่างแน่นอน ส่วนพวกที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็มีแต่คนที่กำลังถูกมองเท่านั้น ดูเหมือนอาร์ดิสกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ โดยลืมไปเสียแล้วว่าเหตุการณ์และ บรรยากาศรอบข้างมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ แถมยังเกี่ยวข้องกับตัวเองเสียอีก สายตาของโจฮันทำให้คาโรตัดสินใจในทันทีว่าจะต้องถามเจ้าตัว เพื่อขจัดบรรยากาศมาขุ ถ้าวาดภาพการแผ่รังสีนั้นจะมีด้วยกัน หลายระดับ และหลายรูปแบบเลยทีเดียวในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรังสีอิจฉาจากอาร์ตตัวแม่ หรือรังสีหวงก้างจากอาร์ตตัวพ่อ นอกจากรังสีดังกล่าว ก็ยังมีรังสีเจ้าหนูจำไมของพวกขี้สงสัยปะปนเป็นหย่อมๆ อีกด้วย “โจฮัน เจ้าต้องการจะคุยธุระกับใครอีกหรือเปล่า” คาโรเปิดโอกาสให้โจฮันได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ ส่งผลให้มีรังสีอำมหิตส่งผ่านทางสายตาหลายคนมาทางเขา ในแบบที่กล่าวแทน ทางสายตาว่า ‘เอ็งจะไปเปิดประเด็นยาโอยทำไมกันฟ่ะ’ “...” โจฮันไม่ตอบอะไรเลย ยิ่งทำให้เกิดความกดอากาศเพิ่มมากขึ้น เซอเพนรู้สึกว่าคอของตนฝืดเสียจนกลืนน้ำลายเป็นพักๆ ท่ามกลาง ความลุ้นระทึกนั้น อาร์ดิสได้แต่คิดว่าทำไมทุกคนถึงดูเคร่งเครียดมากเหลือเกิน ส่วนซีรีสก็มองหน้าแต่ละคนด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าพวกเขา คิดจะทำอะไรกันแน่ อาร์ดิสมองสายตาของพวกเซอเพน เห็นว่าพวกเขาจดจ้องคนที่ชื่อว่าโจฮัน แต่พออาร์ดิสสบสายตากับโจฮัน โจฮันกลับหันหลัง แล้วพูดอะไรบางอย่างกับคาโร แล้วก็เดินไปเสียเฉยๆ การจากไปของโจฮันทำให้บางคนแอบถอนหายใจ อย่างโล่งอก แต่สำหรับคนอย่างเซอเพนและดาเนอีไม่มีซะล่ะที่จะปกปิด เล่นแสดงออกกันอย่างโจ่งครึ่ม “เจ้าก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ มันอะไรกันน่ะ” เฮเรียสหันมามองอาร์ดิสในขณะที่อาร์ดิสถามคำถามนี้ออกมา พร้อมกับเอามือของตนขยี้หัวอาร์ดิสเบาๆ เพื่อหยอกเย้าเล่น (อารมณ์ดีแล้วสินะ) “อะไรของเจ้าเนี่ย!!....ผมข้ายุ่งหมด” อาร์ดิสไม่เข้าใจการกระทำของเฮเรียสเลยสักนิด แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรนักแค่หงุดหงิดนิดๆ กับการกระทำอันน่าสงสัยของเฮเรียส “เจ้ามันหน้าหวานเกินไป...ข้าบอกแล้ว” เฮเรียสมักจะชอบพูดคำนี้เสมอ และอาร์ดิสก็มักจะกล่าวตอบว่า “หา ? ” อาร์ดิสก็ได้แต่ทำหน้างง ไม่เข้าใจที่เฮเรียสกล่าว รู้แต่ว่าคำเนี่ยมันจะติดปากเจ้ามากเกินไปแล้วนะเฮเรียส เจ้ากอลีล่าบ้า~ >:( ---จบตอนที่ 12 ผู้มาเยือน (ตอนต้น)--- ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ ติ ชม ให้คำแนะนำได้ค่ะ |