:: Mayonnaise-Club V.2 :: แล้วเราจะก้าวไปด้วยกัน

.:: Relax Club ::. => Lunalight Of Fiarapella => ข้อความที่เริ่มโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ ตุลาคม 18, 2554, 04:37:43 PM



หัวข้อ: ตอนที่ 11 ศึกรอบที่สอง (ตอนกลาง)
เริ่มหัวข้อโดย: •♫♪มู๋nsะต่าe♫♪• ที่ ตุลาคม 18, 2554, 04:37:43 PM
ตอนที่ 11 ศึกรอบที่สอง (ตอนกลาง)


          “และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ทุกคนรอคอย รวมถึงพวกเราสองคนก็เช่นกัน ศึกระหว่างหอรอบที่สอง หอไหนจะได้เจอกับหอไหน
ทุกท่านคงได้ทราบกันแล้ว จากการประกาศผลเมื่อวาน แต่เพื่อกันบางท่านที่อาจจะฝึกฝนตนจนไม่ได้ติดตามกระแสข่าว เราจะนำ
กระดานเวทย์ที่ประกาศไปเมื่อวาน มาให้ชมกันอีกครั้ง และมันได้มาอยู่ ณ ที่นี้แล้วครับ”

          หลังจากโฆษก (คู่เดิม) กล่าวจบ กระดานเวทย์ดังกล่าวก็ค่อยๆ ปรากฏ ต่อสายตาทุกๆ คน

          
(http://image.free.in.th/z/tj/tablevs2.gif) (http://image.free.in.th/show.php?id=5c8f2ff48b7229cc98f857246f7aee5d)

กรุณาคลิกที่ภาพถ้าเห็นไม่ชัด และที่สำคัญตารางศึกระหว่างหอรอบที่ 2 ต้องคลิกถึงจะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว(เล็กน้อย)ค่ะ

           “ในที่สุดก็ถึงแก่เวลา เปิดศึกระหว่างหอรอบที่สอง ขอเรียนเชิญผู้ก่อตั้งโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอส ท่านมหาเวทย์
เซอุส แอนโดรเมส ให้เกียรติกล่าวเปิดการแข่งขันศึกระหว่างหอรอบที่สองค่ะ”

          เมื่อโฆษกกล่าวดังนั้น ท่านมหาเวทย์จึงเดินขึ้นเวที เพื่อทำการกล่าวเปิดพิธี

          “ศึกระหว่างหอรอบที่หนึ่ง ได้จบลงแล้ว แต่นั่นมันเป็นเรื่องของวันวาน อย่าได้เหลียวไปมองวันวาน ถ้ามันไม่ได้ช่วยให้พวกเจ้า
ก้าวต่อไป หรือแม้แต่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงใช่ว่าเป็นผลเสียเสมอไป ถ้าเพียงแต่มันทำให้พวกเจ้าเติบโตยิ่งขึ้น
ในทางที่ถูกที่ควร และนี่คือ...กำไรที่คุ้มค่าจากการเปลี่ยนแปลง”

          เสียงปรบมือจากเหล่าบรรดาผู้ที่อยู่ในหอประชุมแห่งนี้ดังกระหึ่ม หลังการให้โอวาทของผู้ที่เป็นถึงต้นกำเนิดสถาบันศาสตร์แห่ง
เวทย์อันยิ่งใหญ่แห่งนี้

          ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่คนผู้นี้จะยิ่งใหญ่ และได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ คำพูดทุกคำที่ออกจากปากของเขา เป็นถ้อยคำ
ที่สุดล้ำ และใครเล่าจะเชื่อ เมื่อคนผู้นี้คลุกคลีกับเหล่าเมจรุ่นต่อรุ่น โดยมิได้ถือเนื้อถือตัว หรือแม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ และคงเพราะ
ด้วยเหตุนั้น บรรดาเมจทุกรุ่น คณาจารย์แมจิกทุกท่าน ต่างก็ให้ความเคารพนับถือท่านอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ

          “และนี่คือปัจจุบัน และมันจะเป็นตัวบอกถึงอนาคตของพวกเจ้า จงนำเอาสิ่งที่พวกเจ้าเรียนรู้จากศึกรอบแรก และการฝึกฝนที่
พวกเจ้ายอมทนลำบากถึง 7 วัน บ้างได้มาก บ้างได้น้อย แต่นั่นมันไม่สำคัญเท่ากับที่เจ้าจะสามารถนำมาใช้ได้ในวันนี้ ข้า....ในนามของ
ผู้ก่อตั้งโรงเรียนศาสตร์แห่งเวทย์ยูนิคอรอสแห่งนี้ ขอกล่าวเปิดการแข่งขันศึกระหว่างหอรอบที่สอง นับแต่บัดนี้....จนกว่า...เราจะได้ผู้มีชัย”

          การกล่าวเปิดพิธีของท่านมหาเวทย์นำมาซึ่งความฮึกเหิมแก่เหล่าเมจทั้งหลาย ที่กำลังสิ้นหวัง หรือประหม่าในขณะที่รู้ว่าตนต้องสู้
กับหอไหน และไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง คำพูดของมหาเวทย์จึงเปรียบเสมือนยาชั้นดีที่ทำให้เลือดของนักสู้เดือดพล่าน ตอนนี้ต่อให้
พวกเขาต้องไปเผชิญกับอะไรก็ตาม ก็คงจะเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น และเชื่อมั่นในเพื่อนพ้องมากขึ้นด้วยเช่นกัน

          แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง มีเพียงคนผู้หนึ่งที่ยังคงว้าวุ่นใจ ด้วยคำพูดของท่านมหาเวทย์ คำพูดนั้นช่างเสียดแทงใจเหลือเกิน และมัน
ยิ่งทำให้คนผู้นั้นเป็นกังวลหนักยิ่งขึ้นไปอีก

          ‘แล้วการเปลี่ยนแปลงของคนผู้นั้นเล่า เป็นการดีหรือไม่ ท่านมหาเวทย์’

          คนผู้นั้นได้แต่คิดเวียนวนอยู่เช่นนี้ ก่อนที่จะถูกลากตัวเข้าสู่การแข่งขันศึกระหว่างหอรอบที่สอง

          “ไม่” เสียงตอบปฏิเสธอย่างชัดเจนของคนผู้หนึ่งดังขึ้น

          “ทำไม” ตามด้วยเสียงถามอย่างต้องการรู้เหตุผลจากผู้ที่ปฏิเสธ

          “ไม่ ก็คือไม่” คนปฏิเสธยังยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น

          “แต่เจ้าต้องทำ” คนที่เอ่ยถาม ตอนนี้ถึงขั้นบังคับขู่เข็น
          “คนอื่นก็มี” คนปฏิเสธก็ยังไม่ยอมอยู่ดี

          “ต้องเป็นเจ้าผู้เดียวอาร์ดิส มันถึงจะแนบเนียน นะๆ” มีอีกเสียงให้การสนับสนุนฝ่ายบังคับ

          “เรื่องอะไร เจ้าก็เป็นเสียเองสิ เซอเพน” อาร์ดิสปัดเหาใส่หัวเซอเพนซะเลย

          “ขะ...ข้า!!...”

          เซอเพนพูดพลางชี้หน้าตนเอง พร้อมกับการจะกล่าวโต้ตอบอะไรสักอย่าง แต่ก็ทำแค่ส่ายหัวอย่างรัวเร็ว ในทำนองว่ายังไงก็ไม่มีวัน
ซะล่ะ

           เมื่อเวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร ทุกอย่างก็ลงตัว

          “เสร็จหรือยาง.....”

          มันเป็นเสียงของฟรานซิส ขณะที่เขากำลังจ้องมองไปที่พุ่มไม้หนาๆ แห่งหนึ่ง แล้วจู่ๆ พุ่มไม้หนานั้นก็ขยับเขยื้อนเหมือนกับว่า
มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในบริเวณนั้น และก็กำลังขยับตัวเพื่อตอบสนองเสียงของฟรานซิส

          “เสร็จแล้วน่า...เร่งจริง” เสียงดังมาจากหลังพุ่มไม้ ก่อนที่เจ้าของเสียงจะโผล่พ้นจากพุ่มไม้ดังกล่าว

          และเมื่อฟรานซิส รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้เห็นคนผู้นั้น ก็มีการแสดงอากัปกิริยาต่างกันออกไป บ้างก็อ้าปากค้าง บ้างก็
เบิกตากว้าง บ้างก็เหลียวมองแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ที่แน่ๆ เจ้าตัวที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้นั้น แสดงสีหน้าไม่สบายสุดๆ

          “ทำไมต้องเป็นข้าด้วย....”  เสียงของผู้ที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้นั้น ช่างห่อเหี่ยวเสียเหลือเกิน

          “เอาน่า...คิดเสียว่ากอบกู้โลกก็แล้วกัน” อัลกอลถึงกับเดินไปโอบไหล่อย่างคนเห็นใจ

          “แต่ว่า...ดูดีมากเลยนะค่ะ” ซีรีสเพื่อนตัวน้อยเอ่ยชมจากใจจริง

          “ดีกะผีน่ะสิ” เจ้าตัวหาได้ยินดีกับคำชมไม่

          “ไม่หรอกน่า ไม่มีใครรู้แน่ เนียนซะ....” ฟรานซิสมองด้วยสายตาปิติยินดีกับผลงานของคนตรงหน้า

          “สวยไม่หยอกเลยนะเนี่ย.....” ขนาดดาเนอียังเอ่ยชมด้วยคำๆ นี้  

          คำชมของทุกคนเล่นเอาเจ้าตัวถึงกับสะอึก ไม่มีคำพูดอะไรมากล่าวได้อีก เลยตามเลย หลวมตัวแล้วก็คงจะโงหัวไม่ขึ้นกันหละงานนี้

          “เป็นอันใช้ได้ ก็ไปกันได้แล้วสินะ”

          เสียงเรียบๆ แต่ก็ปนขำๆ นิดๆ ของเฮเรียส ทำเอาเจ้าตัวถึงกับมองอย่างขุ่นเคือง

          “ข้าว่ามันก็เหมาะกับเจ้าดีนะ....เซอเพน คิกคิก”

          ปิดท้ายด้วยเสียงของอาร์ดิส ที่ดูขบขันยิ่งนัก ยิ่งทำให้ตานั่นยิ่งขุ่นเคืองเข้าไปอีก แต่สำหรับเฮเรียส เขามองอาร์ดิสแล้วครุ่นคิดอะไร
บางอย่างอยู่ภายในใจ ด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนกว่าแต่ก่อน พร้อมกับระบายยิ้มไว้เล็กน้อย

          ‘อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเจ้าแต่งเป็นหญิงแบบนี้บ้าง มันจะออกมาเป็นยังไง’

           แต่ในขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะด้วยความสนุกสนานภายในหมู่เพื่อนพ้องอยู่นั้น หาได้รู้ไม่ว่า มีดวงตาปริศนากำลังจดจ้องพวกเขาอยู่

          เที่ยงวันของวันที่สอง หลังจากเปิดการแข่งขันศึกระหว่างหอรอบที่สอง

          ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความสงบ แต่มันอาจจะสงบเฉพาะแค่อาณาบริเวณนี้เท่านั้นก็เป็นได้ ซึ่งความสงบดังกล่าวทำให้หญิงนางหนึ่ง
ที่เป็นหน่วยหาผลไม้ป่า หรือพูดง่ายๆ ในอีกแง่ก็คือจับสลากแบ่งหน้าที่แล้วดันจับได้หน้าที่หาของกินนั้น กำลังเพลิดเพลินกับการหาพืชผลอย่าง
สบายอารมณ์
    
          แม้อากาศและท้องฟ้าวันนี้จะแจ่มใส กลับไม่มีสายลมใดๆ ทำให้ใบไม้ที่ประดับประดาบนกิ่งก้านกระดิก เธอเดินสรรหาผลหมากรากไม้
เฉกเช่นวันก่อน ผ่านต้นไม้น้อย ต้นไม้ใหญ่ เธอเดินอยู่ใต้ต้นไม้เหล่านั้น ใบไม้ร่วงหล่นปลิดปลิวสู่เบื้องหน้าและรอบตัวของเธอ

          “ช้ามาก...นึกว่าพวกเราจะต้องกลายเป็นซากศพกลางป่าเสียแล้ว...ซีริส” เสียงชายหนุ่มโวยวายทันทีที่เห็นสาวนางหนึ่งเดินออกมาจาก
ป่าฝั่งตะวันออกพร้อมผลไม้ในอ้อมอก

          “ฟรานซิส ขืนเจ้าพูดมากกว่านี้ ข้าจะให้เจ้าทำแทนนาง” สตรีอีกนางที่กำลังเก็บข้าวของบางอย่างพูดปรามฝ่ายชาย

          “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ข้าไม่ถือสาเรื่องแค่นี้หรอก และข้าเองก็ไปเก็บนานจริงๆ ต้องขอโทษด้วย” หญิงสาวที่หอบผลไม้อยู่ กล่าวตอบคน
ทั้งสอง ก่อนจะเริ่มแจกจ่ายอาหารให้ทั่วถ้วน

          เมื่อความมืดแผ่ขยายปกคลุมทั่วท้องฟ้า แสงดาวระยิบระยับนับร้อยนับพัน นั่นคือสัญญาณของการสิ้นสุด ทุกชีวิตต่างเข้าสู่ห้วงฝันแห่ง
นิทรา บางคนอาจคิดว่าราตรีช่างเนินนาน แต่ก็มีบางคนที่คิดว่ามันช่างสั้นเหลือเกิน

          เสียงแผ่วเบาจากการขยับตัวลุกขึ้นมานั่งขณะที่ยังอยู่ในถุงนอนอย่างช้าๆ พร้อมกับค่อยๆ เอาแขนออกมาจากถุงนอน ทำให้คนที่
นอนอยู่ข้างๆ ทางซ้ายมือกำลังจะลุกขึ้นมานั่งตาม

          แต่แล้วก็ต้องถูกห้ามให้ขยับตัวใดๆ ด้วยการผลักร่างบริเวณไหล่เบาๆ ให้ลงไปนอนท่าเดิม

          สายตาของคนที่ลุกก่อนทำให้คนที่ถูกกดตัวอยู่ตอนนี้มองตามไปที่ประตูเต็นท์ และพบกับเงาของสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอก
เต็นท์ เป็นเงาร่างของคน สิ่งที่พวกเขาคิดเป็นอันดับแรกคือ...ศัตรู

          เพราะเพื่อนๆ ของพวกเขาในขณะนี้ได้หลับกันไปหมดแล้ว ยกเว้นหน่วยเวรเฝ้ายาม...แล้วหน่วยเวรยามเราหายไปไหน!

          เวรยามในคืนนี้คือ ฟรานซิสและดาเนอี ไม่ต้องถามว่าใครจัดให้คู่นี้คู่กัน เพราะไม่มีใครสั่งการเรื่องนี้ การเฝ้าเวรยามจำเป็นต้องอาศัย
ความรอบคอบอย่างมาก จึงให้เลือกคู่เวรยามกันเอง เพื่อให้เกิดความแม่นยำ เชื่อใจ และรู้ใจกัน แต่ดูเหมือนคู่นี้จะฆ่ากันเองมากกว่าจะฆ่า
ศัตรูเสียอีก

          “ยังไม่ทันไรก็แวะมาเยี่ยมเยียนกันแล้วเหรอ”

          เสียงสตรีนางหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองอย่างสูง

          “ชิ...มีเวรยามด้วยงั้นเหรอ หอนี้ก็ฝีมือไม่เลวนี่ นึกว่าจะเป็นพวกไก่อ่อนต้อนเข้าเล้าง่ายๆ เหมือนพวกผ่านๆ มาเสียอีก”

          อีกเสียงที่โต้ตอบกลับนั้นก็เป็นเสียงสตรีเช่นกัน แต่มันเป็นน้ำเสียงเหยียดอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

          “จะไก่อ่อนหรือไม่ เดี๋ยวก็คงได้รู้กัน”

          สาวมั่นไม่พูดเปล่า แต่ปล่อยลูกไฟเวทย์พุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัว

          ฝ่ายตรงข้ามร่ายเวทย์ป้องกันแทบไม่ทัน หวุดหวิดถูกย่างสดไปอย่างน่าขนลุกขนพอง ตามด้วยการชักสีหน้าแบบไฟแค้นสุมทรวง

          “หยึย เกือบกลายเป็นไก่ย่างถูกเผาซะแล้วซี ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลั๊วน่ากลัวเจงเจ๊ง”

          เสียงชายหนุ่มดังแทรกระหว่างการต่อสู้อันร้อนระอุของหญิงสาวทั้งสอง ทำให้สองนางหันมามองด้วยสายตาอาฆาตชายหนุ่มอย่าง
พร้อมเพียงกัน แต่ชายคนนี้คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก เพราะว่าเจอแบบนี้มาเยอะแล้ว เขายังนอนเอียงข้าง เอามือชันศีรษะ คาบดอกหญ้า
ไว้ในปากอย่างสบายอกสบายใจ

          “เวรยามสองคนอย่างนั้นเหรอ...” สาวจอมเหยียดรู้สึกได้ว่าตอนนี้เธอเริ่มเสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม

          การต่อสู้ระหว่างจอมเวทย์นั้น หากฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่าหนึ่ง อีกฝ่ายย่อมเสียเปรียบ เพราะการรับมือกับจอมเวทย์สองคนในคราว
เดียวกัน ทำให้การต่อสู้เป็นการยากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะลุกหรือรับ

          แต่ยังไม่ทันไร แผ่นดินก็เกิดการสั่นไหว ด้วยคลื่นพลังจากใต้ผืนดินที่กำลังพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มที่กำลังเอนกายสบายใจอยู่นั้น คลื่น
พลังดันผืนดินในบริเวณที่เขานอนอยู่อย่างมุ่งร้าย ฝุ่นดิน หิน กรวด แม้แต่ต้นหญ้าในบริเวณดังกล่าวถูกดันพุ่งขึ้นอย่างกระจัดกระจาย
ควันดินปกคลุมทำลายการมองเห็นของสาวทั้งสองที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นมากนัก พวกเธอมองเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างตกตะลึงว่า
มันเกิดอะไรขึ้น

          “เป็นอย่างที่โจฮันคาดการณ์จริงๆ เจ้าทำเราเสียแผน โจฮันหัวเสียอย่างมากเจ้ารู้บ้างไหมเนี่ย”

          บุรุษผู้หนึ่งพูดด้วยเสียงไม่สบอารมณ์ แม้ว่าเขาจะได้ลงมือช่วยเหลือฝ่ายเดียวกันให้กลับมาได้เปรียบอีกครั้ง
          
          แต่นั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างดีสำหรับผู้กระทำการโดยพลการ เหตุเพราะว่าเธอมาลอบจู่โจมอีกฝ่ายเพียงผู้เดียว โดยที่
ไม่ได้ปรึกษาใครในกลุ่ม และที่แน่ๆ ไม่ได้อยู่ในแผนการของพวกเขา

---- จบตอนที่ 11 --- (ตอนกลาง)
ติ ชม ให้ข้อเสนอแนะได้ค่ะ ชี้แนะได้ยิ่งดีเลยค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน จากใจจริง ของผู้เขียนค่ะ